5 สิ่งควรทำ ที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายที่ฝัน | 5 Actions to do to reach your goal

5 สิ่งควรทำ ที่จะพาเราไปถึงเป้าหมายที่ฝัน

เรามีความฝัน มีเป้าหมายในใจที่เราต้องการจะไปถึง แต่การที่ได้แต่คิดถึงมันนั้นมันไม่พอ และไม่สามารถพาเราไปถึงสถานที่ตรงนั้นได้ เราจึงแน่วแน่และลงมือทำ ออกเดินทางหามัน และในขณะที่เรากำลังเดินไป บางทีอาจจะราบรื่น บางทีอาจจะกระตุกกระตักไปบ้าง แต่สิ่งที่เราควรทำและคอยเตือนตัวเองเสมอ คือ

 

 

1. Know Yourself, Respect your dream, Set your goal

รู้จักตัวเอง/เคารพความฝัน/มุ่งมั่นในเป้าหมาย

goal

เข้าใจสิ่งที่ตัวเองต้องการ สิ่งที่เรามี และอย่าดูถูกความฝันของตัวเอง ประมวลเอาสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราฝัน ที่เราต้องการ และตั้งเป้าเพื่อเดินไปหาสิ่งๆนั้น การตั้งเป้าเราต้องมีความมุ่งมั่น และ เตรียมใจรับความลำบากและอุปสรรคที่จะเข้ามาระหว่างทางเดินไปสู่เป้าหมายและฝันนั้นๆ

ตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง:

จอมมีความฝันตั้งแต่สมัยเรียนสถาปัตย์ ว่า อยากทำงานที่ชอบที่เลี้ยงแม่ได้ให้แม่สบาย คือ…ฝันแบบใหญ่มาก คือ อยากจะมาทำงานออกแบบภูมิสถาปัตยกรรม กับคนเก่งๆในประเทศอเมริกา เพราะเราก็อ่านหนังสือ อ่านเคสที่เป็นตัวอย่างที่ดีมาจากที่นี่ทั้งนั้น จอมอยากทำงานกับเค้าเลย แทนที่จะมานั่งอ่านหนังสือ ตามผลงานเค้า จอมอยากทำเองให้ได้แบบนั้น งานออกแบบที่ทำให้ใจเราเต้นแรง ได้ทำอะไรดีดีให้สังคม และเราก็สามารถเลี้ยงดูที่บ้านได้ด้วย

แต่ว่าตอนนั้น…จอมก็ไม่ได้เรียนเก่ง เกรดไม่ได้สวย ต้องพยายามกว่าคนอื่นหลายเท่า เพื่อที่จะอ่านหนังสือสอบให้มันได้คะแนนออกมาระดับปกติแบบคนอื่นได้ และนอกจากนั้น…เรื่องเงิน ที่บ้านก็ไม่ได้มีเงินที่จะส่งไปเมืองนอกที่ไหนทั้งนั้น จะบินไปเรียนก่อนค่อยหางาน..ก็ไม่ได้ และฐานะที่บ้านก็ไม่ได้ดีนัก ไปเที่ยวในประเทศยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลย

แต่สิ่งที่จอมมี คือ Passion เรารู้ว่าเราน่ะ รักงานออกแบบนี้มาก เหมือนคนหิว อยากออกแบบอะไรใหม่ๆเยอะๆ อยากเรียนรู้ อยากเห็นตัวเองดีกว่าตัวเองเมื่อวานนี้ เรารู้ตัวว่าเราไม่ได้เก่ง แต่เรามีความฝัน และพร้อมจะลำบาก เครียด อดทน เพื่อจะลองสู้เพื่อมัน แค่นั้นเลย เพราะถ้าเราทำได้แม่ก็สบาย เราก็มีความสุข และเรายังทำงานดีดีคืนให้สังคมได้ด้วย เอ้า ท่อง สู้เพื่อแม่ๆๆ….ลองกันสักตั้ง

 

2. Have a Game Plan

วางแผนการเดินเกมส์ของเรา

คาดการณ์ วางแผนการเดินทางล่วงหน้าเพื่อกำหนดทิศทาง และศึกษาความเป็นไปได้ว่ามันสามารถไปถึงได้จริง และได้อย่างไร แผนมีไว้เพื่อเป็นตัวนำทางคร่าวๆ แต่สามารถเอามาปรับได้ระหว่างทางเช่นกัน เพื่อให้ตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงและสิ่งใหม่ๆที่เข้ามา

ตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง:

จอมพยายามสร้างผลงานที่ดี ที่ท้าทายเพื่อที่จะได้เอาไปใส่พอร์ทโฟลิโอ และทำงานที่ทำให้เราได้เรียนรู้รูปแบบการออกแบบใหม่ๆที่เป็นประสบการณ์ของเราได้

จอมพยายามหาประสบการณ์โดยการไปฝึกงานทุกปิดเทอมตั้งแต่ ปี 2 (Landscape Architect 49, Bangkok) ปี 3 (Cicada Private Limited, Singapore) และ ปี 4 (Tierra Design PTE) และเรียนจบก็ทำงานในไทยก่อน 1 ปีในโครงการวางผังฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและสิ่งก่อสร้าง กับทาง จุฬาฯ และ กรมป่าไม้

พอมีผลงานที่คิดว่าน่าจะเพียงพอต่อการสมัครอีกครั้งก็ลุยเลย แผนของจอมมีทั้งระยะยาวหลายปี กับระยะสั้นๆว่าแต่ละเดือน หรือแต่ละอาทิตย์ควรจะต้องทำอะไรเสร็จ

 

3. Focus and Never lost on your Big Picture

โฟกัส

ต้องโฟกัส และไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น และไม่ใช่เป้าหมายใหญ่หรือภาพรวมใหญ่ๆของเราเมื่อเราเริ่มเดินทางออกไปหามฝัน ระหว่างทางจะเริ่มมีสิ่งภายนอกเข้ามากระทบใจและแผนของเรา เราต้องเลือกที่จะรับและเลือกที่จะตัดมันทิ้งไปเพื่อให้เราไม่หวั่นไหว และหลุดออกเส้นทางที่เราวาง

ตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง:

โฟกัส” : ระหว่างที่รองานและคิดว่าคงไม่ได้แล้วก็มีตัวเลือกอื่นๆที่น่าสนใจเข้ามา คือมันน่าสนใจมาก ทั้งตรงสายทำงานในจีน และงานวงการบันเทิงนอกสายหรือแม้แต่อุปสรรค ปัญหาชีวิต แรงกดดัน คำสบประมาท ที่ทั้งหมดทั้งมวลมีผลต่อภาวะสมดุลย์ในใจเราพอสมควร

แต่ว่าที่รอดมาได้ ก็เพราะพยายามโฟกัสว่าสุดท้ายอะไรกันแน่ที่เราต้องใส่ใจ ที่เราต้องการ อย่าลืมว่าเราต้องการอะไรกันแน่ และทำไมเราต้องกาทำสิ่งนั้น พอนึงถึงสิ่งที่โฟกัส มันก็ช่วยดึงเรากลับมาให้ทำสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จได้

ใจเด็ด” : แม้แต่ตอนเรียน การตัดสินใจที่จะโฟกัสกับทีสิส โดยทิ้งทุกงานฟรีแลนส์ (ตอนนั้นงานนอกเยอะมาก จนต้องแจกเพื่อน) เพื่อเป้าหมายที่ว่า จะทำงานออกแบบที่เป็นทีสิสเราให้ดีที่สุดในชีวิต เรียกได้ว่าทุ่มเทให้มันหมด

เหมือนกับการไม่รับงานเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ปกติจอมจำเป้นต้องรับงานนอกโดยปกติเพราะต้องใช้เงินมาเป็นค่าอุปกรณ์ทำงาน และ ค่าใช้จ่ายในบ้าน โดยที่ไม่ต้องรบกวนแม่ การตัดสินใจไม่ทำงานนี่ คือการหักดิบแบบโหดมาก แต่มันก็คุ้มค่ากับการลงทุนเวลา เพราะเราได้โฟกัสกับการสร้างงานดีดี ออกมาเป็นทีสิสเรา

 

4. Time Management

บริหารเวลาดีดี

การบริหารเวลา ทำให้เราใช้เวลาทุกวินาทีอย่างคุ้มค่า และมีเวลาเหลือไปทำสิ่งอื่นได้ด้วยการบริหารเวลาช่วยควบคุมให้สิ่งที่ต้องทำนั้น”ทำเสร็จ” เริ่มจากการบริหารสิ่งที่ต้องทำในระยะสั้นค่อยๆเสร็จไปทีละอัน และยังช่วยเราคอยสำรวจว่าตามแผนโดยรวม สิ่งที่เราทำเป็นไปตามกำหนดเวลาหรือไม่

ตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง:

จอม เป็นคนชอบวางแผน ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็วางแผนอยู่ดี พอแผนเริ่มรวนก็มาปรับใหม่ ไม่ได้กดดันตัวเองแถมเวลาวางแผนก็ใส่เวลาพักผ่อนไปในนั้นด้วยซ้ำ

จอมวางแผนระยะยาวกว้างๆ เช่น ปี 5 ทำทีสิสให้เจ๋ง แปลว่า ต้องบริหารเวลาให้ดีพอที่จะมีเวลาทำทุกเม็ดให้ดี พอเรียนจบมาทำงาน จอมทำงาน Full-time ไปด้วยที่ต้องทำเกินเวลาเป็นเรื่องปกติ จอมเลยต้องแพลนตัวเองให้ระยะเวลาการเตรียมตัวยาวพอควร เพื่อให้ทำพอร์ทออกมาได้ดีดี มีเวอชั่นใหม่ออกมาให้รุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาช่วนรีวิวทุกทุก 3 เดือน และ ภายใน 1 ปี หลังจากทำงานนี้ไป ควรจะต้องมีพอร์ทที่ดีพอ พร้อมสมัครงานที่อเมริกาใหม่ได้แล้ว เป้าหมายรายวันจอม คือ จอมให้เวลา ตอนดึกดึกทุกวัน วันละ 1-2ชั่วโมงเอาไปทำพอร์ทโฟลิโอ เอาจริงๆก็ทำได้ประมาณ 4 วันต่ออาทิตย์ เพราะบางทีก็เหนื่อยแล้ว ก็ต้องปรับแผนไปตามสภาวะเรา แต่ต้องคอยเช็คตัวเอง เช็คเวลาเสมอว่าเราช้ากว่ากำหนด หรือ ทำเร็วกว่าที่คิด

ถ้าจอมไม่ได้พยายามบริหารเวลา จัดตารางจอมคงไม่ได้ทำทุกอย่างๆที่อยากทำ และได้งานที่อยากได้ จอมคิดว่าการจัดตารางเวลา สำคัญมาก เพราะคนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน

 

5.) Stay Positive

ทัศนคติดี คิดบวก

หลายครั้งที่เราต้องเจอแรงกดดัน และอุปสรรคและทำให้หมดกำลังใจ หรือความคิดมืดมนจนไม่อยากทำอะไรต่อไป คนที่ช่วยตัวเราเองได้ดีที่สุด คือ ตัวเรา โดยการให้กำลังใจตัวเอง และหลายครั้งการที่คิดบวกช่วยให้เราเจอทางออก และทำให้เราสบายใจ มีความหวังกว่า ทำให้เรามีแรงที่จำเดินต่อไปได้

การคิดบวก ไม่ใช่โลกสวย แต่เป็นการมองโลกตามความจริง และให้ทางเลือกตัวเองในการที่จะมองสถาณการณ์ต่างๆ การเลือกคิดในแบบที่ให้กำลังใจตัวเอง และอย่ามองโลกในแง่ร้ายจนกดดันตัวเอง และทำให้ตัวเองหมดแรง จะช่วยให้เรามีกำลังผ่านอุปสรรคไปได้

ตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง:

ภาวะคิดบวกไม่ใช่ระบบ Automatic ที่เกิดได้เองตามธรรมชาติ แต่มาจากการ Practice จนเป็นกิจวัตรค่ะ

จอมคิดว่า จอมรอดภาวะกดดันมาได้ เพราะเราให้กำลังใจตัวเอง พยายามทำให้ตัวเองมีความสุขไปกับสิ่งที่ทำ และคิดบวก คือไม่ได้โลกสวยนะ แต่เราต้องยอมรับความจริง แต่ก็ไม่ได้ยินยอมรับชะตากรรมที่ไม่ชอบ ว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นตลอดไป เชื่อว่าตอนนี้มันแย่ แต่เชื่อว่ามันไม่ตลอดไป มันไม่ ABSOLUTE จอมมีสุภาษิตหนึ่งที่ยึดเสมอตั้งแต่เรียน คือ “สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร” แปลว่า อย่าตัดสินใจล้มเลิกไปซะก่อน มันยังมีทาง และมีโอกาสเสมอเราแค่ต้องไม่ล้มเลิก เพราะถ้าเราเลิก คือเราตัดสินตัวเองว่าล้มเหลวไปซะอย่างนั้น ทั้งที่จริงๆเรายังไปต่อได้อีก

นอกจากนั้น จอมยังพยายามเลือกสิ่งแวดล้อมให้ส่งเสริมกับความคิดบวกๆ คือ อะไรที่อยู่ด้วย หรือเห็นแล้วเราจิตใจวุ่นวาย เศร้า หมองหม่น ทำให้เราคิดบวกไม่ได้ ก็เลี่ยงซะ ไม่งัน้จะเป็นการเพิ่มภาระให้กับตัวเอง

 

Summary :

It’s a marathon, not sprint.

เพราะการเดินทางไปสู่เป้าหมาย เหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่งระยะสั้นแบบ4×100 ที่เราอัดพลังใส่อย่างหนักทีเดียว แต่มันกลับกัน เราต้องค่อยๆทำ และเหลือแรงไว้วันต่อไป เพราะมันต้องใช้เวลา เราจึงควรพยายามทำใจให้สนุกกับการเดินทางครั้งนี้

การรู้จักตัวเอง ตั้งมั่นในเป้าหมายทำให้เรามีพลังที่แข็งแกร่งในการเดินทาง และฟันฝ่าอุปสรรค

การคิดบวก ทำให้เราอยู่กับความลำบากอย่างไม่ทุกข์ระทม และก้าวข้ามมันไปได้ด้วยรอยยิ้ม

การบริหารเวลาทำให้เราไปถึงที่หมายอย่างที่ตั้งใจ และได้ทำทุกสิ่งครบที่ต้องการจะทำในเวลาที่มี

ตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง:

กว่าจอมจะได้งานกับบริษัทที่อเมริกา (Design Workshop) ที่อยากได้ จอมใช้เวลา 3 ปีนะ ไม่ใช่แปปๆได้(ถ้านับจากวันที่ส่งไปสมัครงานกับเค้าครั้งแรก ตอนปี 4) จอมไม่ได้คิดว่าจะต้องทำเท่านี้ แต่จังหวะของจอมเป็นเท่านี้ พอเรารีบร้อนเราก็ท้อค่ะ แต่พอเราค่อยๆเข้าใจจังหวะ และทำทุกวันให้ดี ให้เราแฮปปี้เท่าที่ทำได้ ไม่ล้มเลิกซะก่อน ความฝันจะต้องมาถึงมือเราสักวัน ตอนนี้จอมทำงานที่อเมริกาที่เคยอยากได้ มา 9 ปีแล้วค่ะ

สุดท้าย การเดินทางตามหาฝัน เราต้องมุ่งมั่น และ สนุกไปกับระหว่างทางที่เดินด้วย แล้วเราจะเดินทางไปหามันอย่างมีความสุข แม้ว่าแน่นอนมันต้องลำบากและมีอุปสรรค แต่เราเตรียมใจและที่จะเหนื่อยและสู้เพื่อมัน เพราะนั่นคือฝันที่เราเลือกแล้ว ตั้งเป้า แล้วไปกันเถอะ!

 

CREDIT COVER PHOTO (Walking on stairway) : Z S from flickr.com