สวนต่างชนชั้น อินดี้ VS รวยล้นฟ้า ณ กรุงซานฟรานซิสโก : Land [e]scape The Series

สวัสดีค่ะ ทุกคน ในตอนนี้อุ้ยขอเปิดตัว Land [e]scape The Series

บทความที่จะพาทุกๆคนไปท่องเที่ยว  ดูบ้าน ดูเมือง ในมุมมองใหม่ๆ และจะพาไปอัพเดทงาน landscape เบสในอเมริกาค่ะ

วันนี้เรามาเริ่มต้นกันที่เมือง San Francisco, California ที่คนที่นี่เค้าเรียกกันว่า Bay Area กันก่อนเลยดีกว่า

Land [e]scape The Series : Uncommon Parks Around Bay Area

เมื่อพูดถึงสวนสาธารณะโดยทั่วไปเราก็จะนึกถึงพื้นที่สีเขียว open lawn มีบ่อน้ำ มีเส้นทางวิ่ง ทางจักรยาน ม้านั่งริมทาง มีต้นไม้ให้ร่มเงา มีกิจกรรมและพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ใช้ได้สำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย

แล้วถ้าพื้นที่ public ที่เราคุ้นเคยไม่ได้เป็นสีเขียวเสมอไปล่ะ ?

แล้วถ้า users ไม่ใช่คนธรรมดา ?

หรืออาจจะไม่ใช่คนหละ ? (อะไรนะ?!!!)

Parks and Public spaces ที่แปลกไปจากเดิมจะเป็นอย่างไรได้บ้าง ?

ใน Series นี้อุ้ยจะนำตัวอย่าง Uncommon parks หรือสวนที่ไม่ธรรมดา ที่อยู่รอบๆ San Francisco Bay Area มาฝากกันค่ะ

สวนต่างชนชั้น ( No Maintenance VS. High Maintenance)

ขอเริ่มต้นด้วยความต่างกันสุดขั้วของusersกันก่อนเลย  ด้านหนึ่งเป็นชาวอินดี้ ส่วนอีกด้านเป็นคนรวยล้นฟ้าค่ะ

Lifestyle และรสนิยมที่แสนจะแตกต่างกันของสองแบบนี้ มันจะสะท้อนออกมาผ่านรูปแบบของสวน และการใช้งานของ outdoor space

ของจริงเป็นอย่างไร ตามไปดูกันเลยค่า!

 

สวนอินดี้ ที่วิวดีระดับพรีเมี่ยม Albany Bulb, Albany

วิวระดับพรีเมี่ยมจาก Albany Bulb ด้านซ้ายคือ Downtown San Francisco ด้านขวาคือ Golden Gate Bridge

Albany bulb สร้างตั้งแต่ปี 1963 เป็นส่วนหนึ่งของ landfill site (พื้นที่ทิ้งขยะ) ที่เต็มไปด้วยขยะจากการก่อสร้าง เช่น คอนกรีตและเหล็กรีบาร์ ในปี 1983 กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Save the bay ได้ประท้วงให้หยุดการทิ้งขยะในที่แห่งนี้ จากนั้นไม่นาน กลุ่มคนไร้บ้านและ local artists ก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่ เนื่องด้วยโลเคชั่นยากจะเข้าถึงทำให้กลุ่มคนที่อยู่ที่นี่สามารถอยู่ได้อย่างอิสระ ไม่โดนตรวจ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่ากว่า 20 ปีเลยค่ะ  และเคยมีสมาชิกมากที่สุดถึง 60 คนเลยทีเดียว ในขณะที่อยู่พวกเค้าได้ใช้วัสดุที่มีใน site สรรค์สร้างงานศิลปะออกมา จนสร้างพื้นที่แห่งนี้ให้กลายเป็น the greatest outdoor art park

ทางเข้า ไปครั้งแรกหลงเลยคะ ….หลงทาง ไม่มีป้ายใดๆ แนะนำให้เอามือถือเปิดmapไปด้วย

พยายามเดินให้อยู่ในเส้นทาง ถ้านำเด็กๆมาที่สวนนี้ควรระวังเป็นพิเศษ เพราะสวนค่อนข้างรก หญ้าขึ้นสูง บางจุดอาจมีซากขยะคอนกรีตให้เห็น

Space การใช้งานของสวนนี้แบ่งได้เป็น 2 ส่วน จุดชมวิวและจุดจัดแสดงผลงานจะอยู่ริมน้ำ Landmark ของที่นี่คือ Mad Mark’s Castle สร้างด้วยขยะที่มีใน site คอนกรีต เหล็กรีบาร์ จากจุดนี้สามารถมองเห็น golden gate bridge ได้เลย ถือว่าวิวดีมากๆ นอกจากจะเป็นพื้นที่พักแล้วตัวอาคารก็ถูกใช้เป็นพื้นที่กิจกรรมอีกด้วย

Mad Mark’s Castle ตอนนี้โดนรื้อถอนไปแล้ว

เดินวนสักพัก ก็เจอแล้ว Sculpture ที่ตามหา ต้องเดินลุยลงไปค่ะ

พืชพรรณที่เห็นก็ขึ้นตามธรรมชาติ No maintenance ให้ความรู้สึกแบบดิบๆดี

Labyrinth ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่รวมพลทำกิจกรรม

หลังจากเดินชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งใน East bay แล้วก็ไปตามหางานชิ้นอื่นๆกันต่อคะ ในที่สุดก็เจออีกจุดแสดงงาน งานศิลปะจากการรีไซเคิล แสดงให้เห็นถึง freedom and creativity

งานที่ดังๆคือ beseeching woman ออกแบบโดย local artist ที่ชื่อ Osha Neumann and Jason De Antonis และ Dragon

ดีใจมากที่งานเหล่านี้ยังมีให้ดูอยู่

Dragon Sculpture and Beseeching woman

Artworks

ส่วนที่สองเป็นพื้นที่ส่วนที่อยู่ด้านใน มีการโอบล้อมของต้นไม้และเนินดิน ป้องกันลมหนาว เมื่อเดินเข้ามาในพื้นที่นี้จะรู้สึกเลยว่าอุ่นขึ้น ส่วนนี้เหมือนเป็น outdoor living room มีพื้นที่กิจกรรมและพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะ

Inside the land public open space

ความสนุกของสวนแห่งนี้คือการหาโลเคชั่นของงานศิลปะ เหมือนเล่นซ่อนหา เราจะไม่รู้เลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน ต้องเสี่ยงผจญภัยกันเอาเอง บางจุดของพื้นที่ก็ดูมีความเสี่ยงที่จะเป็นที่อันตราย หญ้าขึ้นสูง หรือเป็น slope เอียงๆ
เพื่อความปลอดภัยของผู้มาใช้งาน แนะนำว่าให้พาเพื่อนมาด้วยมากันหลายๆคนก็จะยิ่งดี และไม่ควรมาหลังพระอาทิตย์ตก เพราะไม่มีไฟ

Albany Bulb ถือได้ว่าเป็นสวนที่มีความ unique น่าสนใจที่จะศึกษา ในด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ธรรมชาติ, น้ำ, landfill, คน, และart  ซึ่งน่าติดตามดูว่าแผนพัฒนาพื้นที่ของ Albany Bulb ในอนาคตจะ integrate spirit ของงานศิลปะและ จะรักษา identity ของพื้นที่ได้อย่างไร หรืออาจจะเป็นได้ที่identity นี้จะถูกลบเลือน เนื่องด้วย location ที่วิวดีระดับพรีเมี่ยมอาจเปลี่ยนเป็น commercial spaces หรือโรงแรมซึ่งสามารถทำรายได้ให้กับเมืองได้มากกว่าที่เป็นอยู่

 

สวนสุดหรู Filoli Garden, San mateo

Filoli Garden (Source:www.flowermag.com)

Filoli Estate ขนาดพื้นที่กว่า1650 ไร่  สร้างเมื่อปี 1915 โดย Bourn Family เป็นเจ้าของเหมืองทองที่มั่งคั่งที่สุดใน California และบริษัทSpring Valley Water จำหน่ายน้ำให้แก่San Francisco

ชื่อ Filoli นั้นมาจากmotto ของ Mr. Bourn

FIght for a just cause; LOve your fellow man; LIve a good life”

พื้นที่นี้ต่อมาก็ได้ถูกขายให้แก่ Ruth Family เป็นเจ้าของ Matson Navigation บริษัท Shipping รายใหญ่ ในปี 1975 Roth Family ได้บริจาคที่ผืนนี้ให้แก่ National Trust for Historic Preservation เปิดเป็น Filoli Center พิพิธภัณธ์และสวนให้ผู้สนใจเข้าร่วมชม ถือว่าเป็นหนึ่งใน California Historical Landmark และThe Best Private Formal Botanical Garden in the United States

ทางเข้า Mansion ถือเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมแบบ Georgian Revival tradition ตอนนี้เปิดเป็น Musuem จัดแสดงโบราณวัตถุในช่วงศตวรรษที่ 17-18

บริเวณทางเข้าไปสู่สวน เป็นอาคารกิจกรรม มีพื้นที่นั่งพักและร้านขายดอกไม้

The Gardens

พื้นที่ Formal Garden ขนาด 40ไร่ ถือว่าเป็นตัวอย่างของสวนแนว Anglo-American Gardening

ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวนอังกฤษและสวนอิตาลี ในการออกแบบการวางผังจะเห็นได้ถึงความ formal, symmetrical และ axial geometryซึ่งเป็นแนวทางของสวนอิตาลี แต่เมื่อเข้าไปอยู่ใน space จะได้ความรู้สึกของสวนอังกฤษที่เล่นกับความเป็นธรรมชาติและLayers ของพืชพรรณ

แต่ละส่วนแบ่งออกเป็น series of enclosed spaces (ลำดับขั้นของพื้นที่ว่างที่ถูกปิดล้อม) ซึ่งเฟรมด้วยผนังอิฐ หรือไม้พุ่มตัดแต่ง(Hedges) ทำให้เกิด outdoor room ขึ้นมา โดยแต่ละห้องนั้นจะมีบรรยากาศที่ต่างกัน และมีhighlight ที่ซ่อนอยู่ด้วยค่ะ

Plan (Source : www.Filoli.org)

ตัวสวนนั้นเชื่อมออกมาจากตัวอาคารทางทิศตะวันตก โดยแบ่งออกเป็นสวนแกนตั้งและแกนนอน

โดยแกนนอนเป็นแกนหลักที่เชื่อมสวนกับตัวอาคาร มีจุดhighlightที่ตัดกับแกนตั้งคือ Sunken garden เป็นสวนต้อนรับ  มีความ grand ของ space และพืชพรรณที่ได้ถูกออกแบบด้วยแรงบันดาลใจจากสวนอังกฤษ

ในแกนแนวตั้งจะเน้นความโอ่อ่า แสดงถึงรสนิยมของเจ้าของ การออกแบบพื้นที่จะเป็นแบบ formal และ open ทิศเหนือจาก sunken garden จะเป็น swimming pool court เปิดเป็น open lawn ถูกโอบล้อม ด้วย vertical column hedges

Sunken Garden and flowers

swimming pool court (Source: www.springfiloli.com)

ในส่วนของแกนนอนจะเป็นสวนสำหรับการพักผ่อนหลากหลายสไตล์ ซึ่งได้ไอเดียมาจากสวนอังกฤษแบบ strolling garden มีทั้งแนว woodland เหมือนเดินอยู่ในป่า Rose garden, Wedding garden, Walled garden และ Vegetable garden จุดหยุดสายตาของแกนนอนคือ The high place ซึ่งเป็นจุดสูงสุดสามารถมองมาเห็นสวนทั้งหมดได้ จะมีต้นสนสูงโอบล้อมเป็น backdrop และมีที่นั่งพักด้วย  

สวนอังกฤษหลากหลายสไตล์ 1. Woodland garden 2. Wedding Place 3. The high place

Hedges หรือไม้พุ่มตัดแต่ง ถือว่าเป็น elementหลักของสวน พืชที่เลือกใช้ในสวนนี้มีหลากหลายเช่น copper beech, English holly, English laurel, English boxwood, myrtle, Grecian bay and yew hedges ส่วนใหญ่จะใช้ในการ Screen,ใช้นำสายตา หรือตัดแต่งพุ่มเตี้ยริมขอบทางเดิน  นอกจากนี้ยังมีseasonal flowers เช่น Tulip, Angelona, Forget me not ที่เปลี่ยนไปตามฤดู ซึ่งต้องมีการดูแลรักษาอย่างสูง

Hedges : landscape elements

Highlighted spring flower: Angelina, Rhododendron, Wisteria, Tulip and Forget me not

นอกเหนือจาก Seasonal planting attraction แล้ว ที่Filoli ก็ได้จัดกิจกรรม outdoor classes ,กิจกรรมวันสำคัญต่างๆ และ painting exhibition ให้ผู้คนได้แวะเวียนมาเยี่ยมชมกันได้ตลอดปี สามารถเช็ค update Event  และ flower blooming calendar ได้ที่ https://filoli.org/

Filoli sunken garden ใน season ที่แตกต่าง Courtเดิม แค่เปลี่ยนชนิดและ Schemeสีของพรรณไม้ ก็ทำให้Spaceเปลี่ยนไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นseasonไหน หรือปีไหนก็จะเกิดความ surprise ทุกครั้งเมื่อมาเยือน Filoli Garden (Source: https://millroseinn.com/2017/04/06/flowers-abound-filoli/, https://thesixfifty.com/)

เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับสวนทั้งสองสไตล์ จะเห็นได้ว่าความแตกต่างกันของ users นั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อการใช้งานและรูปแบบของสวน ตอนต่อไปอุ้ยจะพาไปพบกับสวนที่ไม่ธรรมาดาอีก! จะเป็นอะไรนั้นรอติดตามชมกันนะคะ