(Video) 5 STEPS เตรียม สัมภาษณ์งาน : สร้างความมั่นใจ ไปคว้างาน

เตรียม Job INTERVIEW สัมภาษณ์งาน

อีกนิดเดียวก็จะได้เริ่มงานที่ฝัน เหลืออีกด่าน ด่านสุดท้ายก่อนเริ่มงาน ด่านที่เรียกว่า “สัมภาษณ์”(Job Interview) นั่นเอง!!เป็นกันไหม ดีใจมาก แต่ลึกๆก็ยังแอบกังวล วันนี้จอมมี Step-by-Step ของการเตรียมสัมภาษณ์งานมาฝากค่ะ ขั้นตอนเหล่านี้ คือ ขั้นตอนที่จอมเคยทดลองใช้มาแล้วจากการสัมภาษณ์งานที่อเมริกาค่ะ จริงๆจอมไปสัมภาษณ์งานหลายที่หลายครั้งเหมือนกัน หลังจากโดนสัมภาษณ์มาหลายรอบ ตอนหลังก็ได้เริ่มไปสัมภาษณ์พนักงานใหม่ด้วย รวมรวมประสบการณ์กันมาแล้ว 5 ข้อนี้เนี่ยแหละ ใช่เลย จอมทำ Video สรุป และส่วนรายละเอียดพร้อมinfographic จะอยู่ในบทความข้างล่างนะคะ

 

 

มาดูรายละเอียดของ 5 ขั้นในการเตรียมตัวกันเลย!!

เตรียม JOB INTERVIEW สัมภาษณ์งาน

1.SMILE! ยิ้มให้โอกาสที่มาอยู่ในมือเรา

ยิ้มสิจ้ะ รออะไร ยิ้ม ดีใจให้เต็มที่ จนไม่มีที่ให้ความกังวล

Don’t stress !เพราะเวลาเราแต่สัมภาษณ์งานที่เราอยากได้ซะเหลือเกิน ยิ่งอยากได้บางทีอ่ะเนอะ มันก็โอ้ยย แอบนอย แอบกังวลว่า เราจะทำได้ดีไหม ความอยากเท่าไหร่ ความกังวลว่าจะได้ไหม บางทีมันแปรตามยังกับเป็นสูตรไม่เอา ไม่เครียด

It is an opportunity.มันเป็นเรื่องที่ดีซะยิ่งกว่าดี ที่เรา “ได้รับโอกาส” โอกาสอะไรบ้างน่ะเหรอ? โอย เยอะ นี่เลย

  • รู้จักเขา : ในการเดินเข้าไปเจอเค้า เรียนรู้เค้า ว่าจริงๆเค้าใช่คนที่เราอยากทำงานด้วยจริงๆไหม?
  • รู้จักเรา : คุยกับเค้าให้เค้าได้รู้จักเรา ให้เราได้เล่าเรื่องของงาน และแสดงบุคลิกภาพความเป็นเราให้เค้าเห็น
  • Complete self-promotion : เติมช่องโหว่ที่ในเอกสารสมัครงาน บอกเค้าไม่ได้… เช่นทัศนคติ บุคลิกภาพ ความเป็นผู้นำ ศักยภาพในด้านการสื่อสารทางการพูดคุย อารมณ์ขัน การบริหารอารมณ์ และ สุดท้าย..สไตล์ของคุณ (ไม่เห็นกับตา ก็ไม่รู้ไปหมดป่ะ)

“But I don’t like it” “แต่ฉันไม่ชอบนี่!”

จอมก็จะบอกว่า… Me too, I am not comfortable with interview, but I need it. It is the best opportunity to represent “myself”. I learn to love it!!

ตอนแรกเลยจอมก็ไม่ได้ชอบนะ เพราะมันต้องเตรียมตัวอะไรก็ไม่รู้เยอะไปหมด ยุ่งยาก รู้สึกไม่สบายตัว สบายใจเอาซะเลยแต่..เราต้องการมันนี่..ใช่มั๊ย? และเราต้องผ่านมันไปให้สวย เราจะได้ไปเจอที่ที่เราต้องจะไปถึง ไปคว้างาน หรือ คว้าทุน หรือคว้าอะไรก็ตาม หลังด่านนี้

แล้วด่านนี้มันเอาไว้ทำอะไร เอาไว้ทรมานเราเหรอ… ลองดูดีดี ด่านนี้อ่ะ มันคือโอกาสที่จะแสดงตัวเรา ชอบตัวเราเองไหม? ดึงส่วนที่ชอบออกมาให้คนอื่นเห็นด้วยสิ สนุกกับมันจอมเริ่มเรียนรู้ที่จะชอบ และสนุกกับมัน เพราะถ้าเราสนุกตอนเราคุยกับเค้า เค้าก็สนุก เราเครียดเค้าก็เครียด

เราคือคนคุมเกมส์ | Control the atmosphere, it’s your game

ในห้องสัมภาษณ์ เราไปกำหนดไม่ได้ว่าคนอื่นจะมาอารมณ์แบบไหน แต่เราสามารถเตรียมใจ ไปให้พร้อม และทำให้ดีที่สุด ถ้าโดนกดดัน แต่เรายังยิ้มได้ สุดท้ายต่อให้บรรยากาศมันมึนตึง แล้วไง? ต้องเสียงเศร้าตามเวลาโดนคนอื่นกดดันเหรอ? โทนเสียงของเราอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่สดชื่น และน่าฟังที่สุดในการประชุมนั้นก็ได้ป่ะ ไม่นี่ แฮปปี้ก็ดีออก..เราเป็นคนคุมสถาณการณ์ อย่าลืม.. ถ้าคิดอะไรไม่ออก.. ยิ้มค่ะ ให้เค้างง..ว่าเราคิดอะไร ไม่ต้องเศร้าให้เค้าเห็น

It is a “talk” not.. “jury”, ok?

การไปสัมภาษณ์ในหลายๆที่ก็ทางการ แต่หลายๆที่ก็สบายๆเพราะว่าเป็นวัฒนธรรมของบริษัท ต้องดูให้แน่ว่าที่ไหนเป็นอย่างไร แต่ก่อนจะไป ให้คิดไว้ ว่า คนสัมภาษณ์ก็คนเหมือนกัน.. ไม่ใช่นักฆ่า ที่ส่งมาฆ่าเรา คิดซะว่าไปคุย ไปเล่า ไปแลกเปลี่ยน ไปดูเค้า และให้เค้ารู้จักเรา อย่าคิดว่าจะไปดีเฟนส์ ทีสีส

คิดเศร้าไปไม่ช่วยอะไร ใครอยากทำงานกับคนหน้าเบ้ เศร้า กังวล กันยิ้ม แล้วมีความสุขกับโอกาสที่ได้ มีแต่ข้อดีในชั่วโมงนั้นค่ะ

เตรียม JOB INTERVIEW สัมภาษณ์งาน

2.Research You & I: ทำการบ้าน

มีสองอย่างที่เราต้องศึกษาก่อนสัมภาษณ์ค่ะ อย่างแรกสำคัญสุดเลย คือ

  • คนสัมภาษณ์ / คนที่จะเป็นผู้ฟังของเรา Your audience : สำคัญที่สุด คือ รู้ว่าองค์กรณ์ของเค้าทำอะไร แต่น่าสนใจตรงไหน คือ ไม่ใช่อยากได้อะไรจากเค้าแต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเค้าเลย และนอกจากนั้นต้องรู้ว่าเค้าต้องการอะไร เค้ามองหาคนแบบไหน ลองเก็งความสนใจดู
  • รู้จักตัวเองให้ดีแน่แน่ Yourself (Be clear) : เราต้องรู้ว่าเราต้องการอะไรอย่างแน่ชัด และรู้ว่าเราเป็นคนยังไง มีข้อดีอย่างไร ต้องการอะไรในชีวิต “มาสมัครที่นี่ทำไม” ทำไมต้องเป็นที่นี่ การเข้าใจตัวเองในประเด็นเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เรามีความมั่นใจ แต่เพื่อที่เราจะเอาสิ่งเหล่านี้ไปตอบได้อย่างไม่ลังเล เพราะสัมภาษณ์ เค้าก็ต้องถามเกี่ยวกับเราด้วยเนี่ยแหละ เราไม่รู้จักตัวเราเองก็แปลกเนอะ ส่วนเรื่องของคำถาม ตามไปอ่านรายละเอียดต่อในข้อ 4 เลยค่ะ

เตรียม JOB INTERVIEW สัมภาษณ์งาน

3.Prepare เตรียมเอกสารและข้อมูลให้พร้อม

เตรียมเกินดีกว่าขาดนะจ๊ะ ลองมาดู 2 กรณีใหญ่ๆค่ะ

กรณีที่ 1 : สัมภาษณ์ตัวต่อตัว

Scenario 1 : Physical Job Interview

เตรียม INTERVIEW สัมภาษณ์สิ่งที่ต้องหิ้วเตรียมไปแน่นอนคือ: สิ่งเหล่านี้ใส่ USB drive เอาไว้เลยนะ

  • Portfolio : เตรียมพอร์ตฟอลิโอ และ เตรียมว่าจะเล่าเรื่องอย่างไรด้วย เค้าเคยเห็นแล้วไม่ใช่ว่าไม่ต้องพูดถึงมันแล้ว ไม่ใช่ว่าไปแล้วเค้าจะยิงคำถามเลย เตรียมไปให้พร้อมค่ะ โดยเฉพาะว่าจะเล่าเรื่องงานจากพอร์ตโฟลิโอเราอย่างไร เตรียมนี่คือ เตรียมจริงๆ มีการซ้อมพูดด้วยนะคะ เหมือนตอนต้องจูรี่ทีสิสนั่นแหละ ซ้อมจนกว่าจะเป๊ะ และงานฟังดูน่าสนใจ และเล่าได้ธรรมชาติค่ะ
  • Resume : นอกจากเป็นไฟล์ ก็อาจจะเป็น Hand out แจกเค้าก็ได้ เค้าจะได้อ่านระหว่างคุยกับเรา กวาดตาดูไป เผื่อมีคำถามด้วย เพราะยิ่งถ้าคนมาดูเรามีมากกว่า 1 คน บางคนอาจจะไม่ได้มีข้อมูลเรามาก่อน การมี Resume อยู่ในมือเค้าทำให้เค้าเก็บข้อมูลเราง่ายขึ้น ลดคำถามในใจได้อีก พริ้นเกินไปก่อนก็ได้ เหลือดีกว่าขาด ไม่ได้ใช้ก็ไม่เป็นไร

อื่นๆมีอีกไหม :

  • Laptop : “เอาไปเผื่อ” อันนี้ไม่ได้จำเป็น ถ้าเค้ามีคอมพิวเตอร์ไว้ให้ใช้เราก็โอเค สบายไป แต่ถ้าเกิดเหตุขัดข้องทางเทคนิคที่เราคาดไม่ถึงขึ้นมา แล้วพรีเซนท์ไม่ได้ มันจะซวยหนัก เตรียมอะไรให้พร้อมได้ เอาไปเหอะ
  • Brochure สรุปงาน : อันนี้ต้องประเมินดีดี เช่น โบรชัวร์สรุปงาน อยากทำแจกดีไหม? ในแง่นึงก็ดีค่ะ อยากทำก็ได้ เพราะบางทีก็สร้างความประทับใจได้ดีค่ะ ดูตั้งใจ แต่ว่า ไม่จำเป็นถ้าเทียบกับ Resumeแล้ว Resumeนี่มีประโยชน์กว่าค่ะ เพราะพวกโบรชัวร์แสดงตัวอย่างงานเรา ที่มันจะซ้ำซ้อนกับการสิ่งที่เค้ากำลังดูเราพรีเซนท์บนจอ และ แทนที่จะดี อาจจะกลายเป็นดาบสองคม แย่งซีนเราเองเฉย แต่ถ้าในการณีที่อยากทิ้งอะไรไว้ ตอนที่เราไม่ได้พูด อันนั้นก็ได้ค่ะ ทิ้งไว้เป็นที่ระลึก แต่ไม่รู้เค้าจะดูไหม อันนี้พูดยาก

กรณีที่ 2 : สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ / วีดีโอ

Scenario 2 : Phone Conference / VDO conference

เตรียม JOB INTERVIEW สัมภาษณ์งาน+ Digital Files :Portfolio, Resume ควรมีไฟล์รอในคอมพิวเตอร์ เอาไว้ให้พร้อมหรือ พริ้นอะไรก็แล้วแต่ เผื่อต้องพรีเซนต์เรื่องงานผ่าน VDO conference อย่างพวก Shared screen ได้ อันนี้แทบจะไม่ต่างจากกรณีที่ 1 ที่ไปสัมภาษณ์งานเลย กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ+ System test : เอาให้แน่ว่าระบบที่จะใช้มันจะไม่มีการขัดข้องวันจริง เช่น Skype หรือ โปรแกรมที่ใช้มันSet up เรียบร้อยไหม เสียงชัดไหม กระตุกป่าว ลองเทสกับเพื่อนก่อนก็ได้

เตรียม JOB INTERVIEW สัมภาษณ์งาน

4.Practice เตรียมตัวตอบคำถามสำคัญหลักๆให้ได้

มาว่าด้วยเรื่องสำคัญที่สุด คือ การตอบคำถาม เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเก็งคำถาม และลองตอบคำถามที่เป็นคำถามคลาสสิค สำคัญ และผู้ว่าจ้างอยากจะรู้จากเรา จอมแบ่งกลุ่มส่วนคำตอบที่ต้องเตรียมไว้เป็น 4 ส่วนค่ะ ลองเตรียมดูนะคะ

4.1.”Tell me about yourself” คำถามที่มาเหมือนคำสวัสดี

ผู้สัมภาษณ์มักจะให้โอกาสเราเริ่มต้นด้วยการ พูดสิ่งที่เราต้องการจะพูด สิ่งที่ต้องทำคือ สร้าง “Elevated Speech” หรือ “สุนทรพจน์ประจำตัว” แหมะ พูดไทยแล้วฟังยังกับจะไปหาเสียงเลือกตั้ง 555 แต่เอาจริงๆ มันก็ประมาณนั้นแหละค่ะ ลองเอายังงี้นะคะในเวลา 1-2 นาที พูดแนะนำตัว ครอบคลุมถึง “ชื่อ การศึกษา ทำอะไรอยู่ และ ต้องการอะไรต่อ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ถึงมาอยู่ตรงนี้”ลองดูค่ะ

จากนั้น.. โดยส่วนมากจะตามด้วย Portfolio walkthrough / work experiences หรืออยากจะตั้งชื่อพาดหัวยังไง ให้ตื่นเต้นก็ตามใจค่ะ (นอกจากว่า เค้าขอข้ามอันนี้ไป)คือง่ายๆ คือ ต่อด้วยการเล่าเรื่องงานของเรา จากที่เตรียมมาในข้อ 3.1 นั่นแหละค่ะ ข้อนี้จอมเตรียมหนักมาก ซ้อมแล้วซ้อมอีกซ้อมจนเป็นธรรมชาติ จนเราไม่พูดอะไรเยิ่นเย้อ ไม่จำเป็น พูดแล้วสนุก ซ้อมจนมันหายเครียดค่ะ ที่จะหายได้ก็เพราะ มันเป๊ะจน..มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ป่ะ พร้อมแล้ว

 

4.2. Career Questions คำถาม เกี่ยวกับ วิชาชีพ และ การทำงาน ที่ควรจะถามตัวเองและตอบให้ได้ให้หมดก่อนจะไปสัมภาษณ์

อันนี้คือจุดที่เค้าจะใช้เช็คจุดต่างๆของเราเนี่ยแหละค่ะ เพื่อ Confirm ว่าคนนี้เหมาะสมมากน้อยแค่ไหน คำถามเหล่นี้ไม่ได้โดนถามหมดในเวลาเดียวกัน แต่เป็นคำถามที่นายจ้างส่วนใหญ่สนใจ เพื่อที่จะได้ประเมินว่าเราเหมาะสมกับการจะมาอยู่กับบริษัทเค้ามากแค่ไหนค่ะ

ขอยก มา 3 ตัวอย่าง ที่โดนบ่อย

  • Why would you want to work with us?
  • What’s your strengths & weaknesses?
  • What are your contributions that we can expect from you?

รายละเอียดและการตอบแต่ละคำถามเหล่านี้ จะแยกไปลงอีกบทความเลยนะคะ ยังมีอีกหลายคำถามมากที่สำคัญ คลาสสิคไม่แพ้กัน แยกไปเป็นอีกเซ็ทเลย ต้องตอบให้ได้ให้หมดนะคะ “15 คำถามสัมภาษณ์งาน ที่ต้องตอบให้ได้ก่อนไปสัมภาษณ์จริง”

4.3.คำถามเกี่ยวกับ ทัศนคติ : Attitude Questions

อันนี้เป็นคำถามที่ทดสอบเราในเรื่อง ไหวพริบ และทัศนคติ รวมไปถึงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยค่ะเช่น

  • How do you manage yourself to get through stressful deadlines?

คือ เราบริหารตัวเอง บริหารความเครียดยังไง เวลาต้องผ่านช่วงเวลาที่กดดัน เช่นเดดไลน์ จอมเคยเจอคำถามนี้ค่ะ สมัยยังประสบการณ์ 3-4ปี ตอนนั้น เค้าถามจอมว่า “ถ้าเจอเหตุการณ์เดดไลน์ที่เครียดมาก กดดัน และ เหมือนจะทำแทบไม่ทัน เราจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรให้ผ่านมันไปได้ ?” ก็คืออันข้างบนน่ะแหละค่ะ แต่ใส่ว่า “เหมือนจะทำไม่ทัน” ไปด้วย

ตอนที่จอมตอบคือ

“I will prioritize what should be done first and which are most crucial exhibits to produce, Of course I will feel stress because the time is tight, but I know ..

we can get things done if we don’t sleep”

ตอบสั้นๆค่ะ ไม่ต้องเยอะ ประโยคเดียว ปิดจ๊อบ Close the deal!! นั่นล่ะค่ะ ได้งานค่ะ แล้วพอทำงานก็ตามที่ว่าค่ะ เค้าจ้างมาเพราะเราไม่ค่อยนอนค่ะ 5555

ถ้าเราตีความจริงๆคำถามนี้ เป็นคำถามที่ตอบได้ทั้ง “เชิงทัศนคติ และ การจัดการ” ค่ะ แต่ในระยะเวลาอันสั้นที่คิดได้ตอนเฉพาะหน้า เราอาจจะตอบได้ทีละเรื่องก่อน ค่อยท้าวความต่อไปถึงเรื่องที่สอง

Take your time, and Take control ค่ะ ไม่ต้องรีบพูด ค่อยๆพูด แต่อย่าอึกอัก ลังเล พูดช้าๆอย่างมั่นใจ

 

4.4. Your Questions? เรามีอะไรจะถามเค้าไหม?

อันนี้ก็อีกคลาสสิค ที่ถ้าไม่คิดว่าจะเจอก่อนไป นี่เจอทีสตั๊นท์เลยดิ ถามไรดีวะ เออ..เตรียมมาแค่เค้าถามเรา ถึงเวลา แถกันสีข้างถลอก 5555

นี่ไง..มีเวลาคิดแล้ว ลองคิดเลยว่าอยากจะถามอะไร มีคำถามมากมายที่ถาม ได้ค่ะ ตัวอย่างเช่น

  • Type of work , current ongoing projects : เค้าทำโปรเจคอะไรอยู่ มีแนวอะไรนอกจากที่เรารู้ไหม ตอนนี้มีอะไรน่าสนใจ
  • Role of this position : บทบาทหลักของตำแหน่งนี้จะมาช่วยทำโปรเจคไหนเป็นพิเศษ กำหนดรึยัง จะให้ทำอะไรบ้าง
  • Their expectations : ความคาดหวังต่อคนที่จะมารับตำแหน่งนี้ What kind of candidates are you looking for? : ผู้ท้าชิงตำแหน่งนี้ (เรียกซะยังกะจะไปต่อยมวย) ที่เค้าต้องการมีลักษณะอย่างไร
  • Work system, Workflow, Culture : วัฒนธรรมขององค์กรณ์ และ วิธีการทำงาน
  • Professional Growth in the company : ความเป็นไปได้ในการเติบโต และความเจริญก้าวหน้าในองค์กรณ์ โอกาสในการเลื่อนขั้น โอกาสในการได้คุมงาน

5. Outfit เตรียมชุดให้เหมาะ

สุดท้ายเตรียมมาซะดิบดี อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ไปด้วยนะคะ เอาให้เหมาะสมกับออฟฟิสนะคะ เตรียม JOB INTERVIEW สัมภาษณ์งานอย่างสายสถาปัตยกรรมเนี่ยจะต่างจากสายอื่น คือ ไม่ได้ต้องใส่สูทผูกไทเข้าไปสัมภาษณ์ (อย่างน้อยอเมริกาแน่นอน) แต่ถ้าไปสายอื่นก็ต้องดู มันแล้วแต่เลย แต่ไม่ใช่ว่าสายสถาปัตย์ใส่อะไรก็ได้ไปนะคะ เอาจริงๆ มันยังอยู่ภายใต้คำจำกัดความเดียวกันค่ะ คือ เราต้องเคารพเค้า และ

เวลาเราแต่งตัว เราไม่ได้ Represent ตัวเอง แต่เรา Represent บริษัท

เค้าดูการแต่งตัวเราในวันนั้นก็ดูด้วย มันเหมาะมากน้อยแค่ไหนที่จะเลือกไอ้คนนี้เนี่ยมาเป็นตัวแทน เป็นหน้าเป็นตาออฟฟิสค่ะ

แต่งเกิน ดีกว่าแต่งขาด

จอมก็เห็นด้วยตามนั้นนะ แต่ถ้าคิดไม่ออกก็ใส่เต็มยศไปเลย เราให้เกียรติเค้า

มีครั้งนึงที่เพื่อนสายบัญชีเห็นเราจะไปสัมภาษณ์งาน ก็ใจดีมากให้ยืมสูทมาเลย จอมไม่มีสักกะตัวตอนนั้น ลองใส่เออก็ดูดี คิดไปคิดมา ไม่ใช่เราเลยอ่ะ มีอะไรที่ใช่ เรียบร้อยและทางการพอ แต่ยังเป็นเราไหม? ด้วยความแอบ Rebel นิดนิดส่วนตัว จอมไม่อยากเป็น cookie cutter ที่แต่งแบบชาวบ้านอ่ะ ก็แต่งแบบสไตล์เราเนี่ยแหละ แต่แต่งไปภายใต้เงื่อนไขที่ว่า

เรา Represent บริษัท ในแบบที่เราไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง

นี่ก็คือ การนำเสนอในแบบเรานะ เราก็อยากแสดง Identity เนี่ยแหละ จอมเชื่อว่า Style Matters. แต่ไม่เยอะนะ เอาที่พอเหมาะพอควรค่ะ จอมเป็นคนไม่ค่อยแต่งตัวเท่าไหร่ค่ะ แต่จะให้สวยแบบคนอื่นก็ไม่อยากเป็นค่ะ ถ้าจะดูดีก็ต้องดีแบบเรา

ถ้าคิดไม่ออก ขอแนะนำ… ดำล้วนค่ะ!!!! ผอม เอ๊ย เท่ห์!!!

นี่คือ 5 ขั้นตอนหลักหลัก ที่ต้องทำก่อนไปสัมภาษณ์งาน เพื่อเตรียมตัวให้ได้ทั้งงาน ได้ทั้งใจค่ะ

แล้ว ตอนต่อๆไป จอมจะมาเก็บรายละเอียด เรื่องของ กลุ่มคำถาม และ วิธีการร่าง Elevated Speech หรือ สุนทรพจน์ประจำตัวค่ะ

ถ้าใครมีอะไรสงสัย ถามเข้ามาได้นะคะ ฝากคอมเม้นไว้ข้างล่างได้เลยค่ะ เพื่อนๆจะได้เรียนรู้ไปพร้อมๆกันเลยค่ะ

Yay!

* สำหรับใครที่อยากได้คน มาช่วยดู ช่วยคอมเม้นท์ Portfolio อย่างละเอียด และอยากรู้ว่า วิธี ทำให้ Portfolio ของตัวเองเจ๋งขึ้นไปอีกขั้นต้องทำอย่างไร ตอนนี้ทาง DreamAction รีวิวให้ฟรี เดือนละ 1 คน ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ คลิกเลย Portfolio Review