ณ หน้าผาริมทะเลแปซิฟิค เมือง ลาโฮย่า (เป็นภาษาสเปน) ไม่ไกล กรุงซานดิเอโก้ บนปลายหน้าผานั้น มีสถาปัตยกรรมชื่อดังตั้งแต่ยุคโมเดิร์นชิ้นหนึ่งตั้งอยู่ นั่นคือ สถาบันวิจัยซอล์ค เพื่อการศึกษาชีววิทยา (Salk Institute of Biological Studies) ที่เป็นงานของ หลุยส์ คาห์น (Louis Kahn) สถาปนิกที่สถาปนิกทุกคนต้องรู้จัก งานนี้เป็นงานที่ไม่ใช่แค่สวยงาม ประทับใจ แต่มันเป็นตัวอย่างที่เล่าถึงการสร้างสรรงาน จากสิ่งที่คุณลูกค้าคิด ไปสู่…สิ่งที่สถาปนิกตีความและถ่ายทอด จนออกมาเป็น “สุดยอดงานออกแบบสถาปัตยกรรม” ได้เลยทีเดียวค่ะ
คือ ตอนก่อนหน้าที่จะไป ก็เคยเห็นรูปมาก่อนนะ ก็รู้ว่าสวยอ่ะแหละ แต่ก็อยากเห็นด้วยตาเองว่าจะขนาดไหน
นี่คือตอนที่กำลังเดินเข้าไป จะมีCourtyardให้เดินผ่านก่อน
ไปที่นี่เค้ามีทัวร์ให้เราจองด้วยค่ะ จะพาเดินดูและเล่าที่มาที่ไป หรือจะไปเดินเองก็ได้ แต่ไม่มีทัวร์ก็เดินเข้าไปด้านในตึกไม่ได้ ไหนไหนก็ไปละ ก็เลยเอาแบบมีไกด์เล่าให้ฟังหน่อย ไปเดินดูกันเลย…!
เรื่องของที่นี่..มันเริ่มมาจากว่า… คุณ โจนาส ซอล์ค ชวน คาห์น มาออกแบบสถาบันวิจัยแห่งนี้ให้เค้า และได้ร่วมกันสร้างงานสถาปัตยกรรมที่เป็นสถาบันวิจัยที่พิเศษ และแตกต่างจากแนวทางการออกแบบสถาบันวิจัยแบบเก่าๆเดิมๆ โจนาส เค้าต้องการสร้างที่นี่ให้เป็นที่ที่จุดประกายความคิดสร้างสรรค์และการค้นคว้า(Discoveries)ให้กับนักวิจัย เค้าเชื่อว่าการจัดวางสถาปัตยกรรมมีบทบาทมากในการที่จะหล่อหลอมการกระทำ และความคิดของคน“It belongs to population.” โจนาสบอกคาห์น ว่าที่ที่เค้าอยากให้เป็นนี้น่ะ มันไม่ใช่แค่ที่ที่มีไว้เพียงแค่เพื่อวิทยาศาสตร์ แต่มันคือสถานที่ของทุกคน ของทุกชีวิตที่มาอยู่ ณ จุดนี้ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์, วิทยาศาสตร์, ศิลปะ และ ธรรมชาติ จะให้มาเจอกันที่นี่
ดังนั้น โปรแกรมสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่โจนาสกำหนดให้คาห์น คือ สถานที่นี้ต้องทำหน้าที่เป็น “meeting house”ด้วย เอาไว้จัดงานเลี้ยง ให้คนเจอกันคือ โจนาสบอกว่า ไม่มีอะไรมาก…
แค่อยากชวน ปิกาสโซ่มาที่นี่!
(เฮ้ยยยย นี่ออกแบบยุคปิกาสโซ่ยังไม่ตายเหรอ สงสัยเลยไปแอบเช็คดู เออ งานนี้สร้างเสร็จตอนปิกาสโซ่ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ 555)
คาห์นเลยถึงกับต้องตีความสถานที่กันเลยว่ามันจะเป็นพื้นที่ยังไง ที่โปรแกรมมัน 3 อย่าง ทั้งLab ทั้งที่Study แล้วมันจะยังมี meeting space ที่จะให้คนนอกสายมาแล้วยังชื่นชมได้อีก
คือ คุณโจนาส เจ้าของงานเนี่ย เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ และความคิดน่าสนใจมาก แล้วคิดดูนะ….พอเอามาเจอกับสถาปนิกอย่างคาห์น จะมันขนาดไหน!!!!
Spirit of the Place
โจนาส บอกว่า “เราควรจะต้องให้ความสำคัญกับทุกสิ่งมีชีวิตไปจนถึงอณูที่เล็กที่สุด เพราะแต่ละอณูมันมีวิญญาณ และความตั้งใจของตัวมันเอง… “ไม่ว่าจะ… “ฉัน..อยากเป็นต้นไม้” หรือ จุลินทรีย์อาจจะบอกว่า “ฉัน..อยากตัวเล็ก”
โห………!!! ลึกอะ!!!! เหยยย นี่มันปรัชญาขั้นกวีเลย!แล้วคุณคิดว่า ความคิดเหล่านี้จุดประกายคาห์นยังไง? แล้วเค้าจะทำไงต่อ?
มันเหมือนเคมีทางความคิดมันตรงกันนะ.. คาห์น บอกว่า ในงานนี้ “ต้องถามพื้นที่..ว่าพื้นที่อยากเป็นอะไร”งานนี้จึงเป็นงานของคาห์นที่Captureจิตวิญญาณของพื้นที่ ลูกค้าสร้างโจทย์เบื้องต้น และ สถาปนิกคาห์นตีความต่อและทำให้มันเป็นจริง
บอกเลยว่า..ส่วนผสมนี้”มัน”อ่ะ ไอ้งานที่ลูกค้าดี สถาปนิกเทพ นี่มันเป็นงี้นี่เอง หาไม่ได้ง่ายๆนะถามว่า….คิดซะสวยหรูขนาดนี้ทำได้จริงไหม? 555 จอมมาเพื่อหาคำตอบนี้แหละค่ะ ว่ามันสมคำร่ำลือไหม
แล้วคำตอบที่จอมได้ ตั้งแต่นาทีแรกที่ก้าวเท้าเข้าไป ยืนตรงนั้นมันยิ่งใหญ่ เรียบง่าย แต่ลึกลับ และโคตรสวย!!!!!! แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ มันไม่ใช่แค่เห็นด้วยตา แต่มีความรู้สึกข้างใน คือใจสั่นเลย…ไอ้ที่คนเค้าว่ากันว่า “สะเทือนถึงจิตวิญญาณ”มันคือแบบนี้นี่เอง ไม่รู้น่ะนะ ว่าใช่วิญญาณเดียวกะที่เฮียสองคนเค้าตั้งใจไหม แต่เราไปละ นี่คือพยายามทำใจแข็งนะ แต่ประทับใจงานนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นละ
Monumental
ที่ซอล์คนี้ เป็นสถาปัตยกรรมที่เรียกได้ว่า มีพลังมากมากค่ะ คือเดินเข้าไปแล้วสัมผัสได้ถึงความอลังการ เป็นทางการ(formal) ที่เป็นเทคนิคที่ใช้มากในงานออกแบบ มันมีกลิ่นอายของความโบราณ(Ancient)ที่พื้นที่ดูอลังการมีแกน(Axis) และความสมมาตร(Symmetrical) แต่แค่นี้ทำให้งานนี้ ไม่ทำให้งานนี้ประสบความสำเร็จได้
Spiritual / Powerful
จริงๆอีกความรู้สึกที่จอมคิดคือ มันค่อนข้างลึกลับ ไม่รู้ทำไมถึงมีผลกระทบต่อความรู้สึกเราได้มากกว่างานอื่นอย่างฟ้ากับเหว และมันก็น่าค้นหามาก (Discovery)เดินยังไงก็เดินไม่พอ อยากเดินไปค้นนู่นค้นนี่เรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด เดินกดรูปแล้วกดอีก ไม่รู้เมื่อไหร่จะพอ 555 จริงๆจอมหาเรื่องไปเที่ยวดูงานสถาปัตยกรรมในอเมริกาหลายที่อยู่ แต่งานที่สะเทือนถึงจิตวิญญาณนี่นับได้เลยค่ะ
ลึกลับน่าค้นหา Sense of Discoveries
หลักการออกแบบในงานนี้ที่เห็นต่อมาเลยคือ “ความน่าค้นหา” วิวแรก ตอนเดินเข้ามา : ตอนแรกที่มองเข้าไป เราจะไม่ค่อยเห็นช่องเปิด และสีกับtextureจะมีแต่คอนกรีต แต่พอเริ่มเดินเข้าไป มันเหมือนค่อยๆดึงเราเข้าไป และมุมมองมันค่อยๆเปลี่ยนไป ที่จอมคิดว่าจอมเห็นแค่นี้ตอนแรก เฮ้ย..! มันไม่ใช่ว่ะ ยิ่งเลยเข้าไปพอมองหันหลังย้อนกลับมา ภาพที่เห็นมันมีทั้งคอนกรีต ไม้และกระจก เพราะfacadeส่วนนี้หันเข้าหาทะเล เพื่อรับวิวและแสงแดด
ยิ่งการใช้ผนัง และทางเดินในงานนี้ สร้างมุมมองที่เปลี่ยนไปเวลาเราเดินผ่าน และน่าสนใจมากค่ะ
บางทีก็มีเฟรมที่กรอบให้มุมมองเราเห็นภาพเดิมในความรู้สึกที่เปลี่ยนไป
หรือแม้แต่การออกแบบรูปทรงอาคาร ที่ให้แสงธรรมชาติลงมาเป็นช่วงๆ มีจังหวะ และมีContrastที่ชัดเจน คือ เล่นซ่อนหา ตามดู“เทคนิคการออกแบบ”กันอย่างมันอ่ะงานนี้ คือตอนไปนี่ไม่ได้รู้เรื่องคาห์นมาก ไปงานอื่นของเค้ามาหลายงานก็ไม่ได้อินขนาดนี้ แต่พอเดินเข้าไปงานนี้ทำให้อยากศึกษาความคิดเค้ามากกว่านี้ เพราะเป็นเทคนิคการออกแบบที่พลังท่วมท้นจริงๆ
ถ้ามีใครบอกงานนี้น่าเบื่อ ก่อนมาจอมอาจจะไม่แคร์นะ แต่พอได้มาเอง นี่คนละเรื่อง จอมเถียงขาดใจ!! เพราะมันเหมือนมีแค่นี้ แต่พื้นที่แค่นี้ มันมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่ใช่แค่ทำให้เราอยากเดินต่อเข้าไปเจอวิวที่เปลี่ยนแปลง แต่ทำให้เราพบกับความประหลาดใจSurpriseด้วย!
คือ ถ้าอยากศึกษา Power of Design พลังของการออกแบบ เทคนิคที่ซ่อนอยู่ มาเลย งานนี้อัดแน่น จนกลัวว่าพลาดอะไรไปบ้างรึเปล่า เทคนิคแพรวพราวและแนบเนียน อัดแน่น แต่ดูเรียบง่าย
วัสดุ : เมื่อ “ปูน อยากเป็น หิน”….
วัสดุเด่นคือ ผนังคอนกรีตเปลือย โดยที่จงใจทิ้งความ”ไม่เสร็จ”ที่มาจากพิมพ์ที่หล่อคอนกรีตที่เห็นเป็นรู และเป็นรอยต่อ สิ่งที่ทำนี่ คือ คาห์นให้เคารพในความเป็นคอนกรีต และให้มันได้แสดงความเป็นมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์..(ดิบ ป่ะล่ะ… ;D )
ไม่ต้องห่วง คาห์นเค้าไม่พลาดในการถามคอนกรีตว่า “นายอยากเป็นอะไร”…นายคอนกรีต บอกว่า…”อยากเป็นหินแกรนิต”
(จอมนี่คิดเลย…เฮ้ย ไปกันใหญ่ละ อย่าหาว่าชั้นไม่โรแมนติกนะ)
(แต่แกเป็นคอนกรีตนี่..แล้วแกจะอยากเป็นหินทำไม?)
เพราะ..ใครใครก็มองว่าหินน่ะเป็นวัสดุที่มีค่า ราคาแพง แต่ คาห์นกลับคิดว่า คอนกรีตก็มีจิตวิญญาณและคุณค่าในตัวมัน และทำไมมันต้องมาโดนหินทับ ทั้งสองก็ควรจะมีค่าเท่ากันนี่! คอนกรีตก็อยากแสดงคุณค่าโดยสมบูรณ์ในตัวมัน อย่างที่หินทำเหมือนกัน ทำไม…จะทำไม่ได้?!!
คือ คาห์นเนี่ยเค้าหลงไหลในคอนกรีตมาก และเค้าศึกษาและพัฒนา concrete mix ที่จะเอามาใช้ในหลายๆงานของเค้าเอง ไม่ใช่แค่ปล่อยให้ผู้รับเหมาควบคุมเอง คือเรียกได้ว่าคุมดีเทลไปจนเม็ดผงคอนกรีตเลย (แต่ไม่ได้ไปโม่เองนะ นั่นก็เกินไป…)
พอมาดูในงานตัวคอนกรีตของคาห์น คือ เค้าทำคอนกรีตออกมาให้ดูเหมือนหิน Travertine (ที่ใช้ที่พื้น) เพราะเค้าต้องการแสดงธรรมชาติของหิน(Lithic)ผ่านมาทางคอนกรีต (ดูรูปจะเห็นคอนกรีตดูพรุนๆ คล้ายพื้น)ด้วยความเป็นคอนกรีตเปลือย คือ จะไม่ปิดบังรู หรือ รอยต่อใดใด
จอมสงสัยเลยไปอ่านมาเพิ่มเลยพบว่า เนื้อของคอนกรีตงานนี้คือ… ผ่านการก่อสร้างและคิดมาอย่างดีจริง คือ เค้าสร้างเทคนิคการหล่อคอนกรีตของเค้าด้วย และใช้ไม้แบบ แบบที่เค้าเลือกมาเอง
พอดูผลงานออกมาแล้ว..เออ…คอนกรีตอยากเป็นหิน..ก็ได้.. ยอม เค้าไม่ได้แค่คิดสวยสวย เค้าหาทางลองผิดลองถูกมาหลายหนเหมือนกัน กว่าจะเล่นกับeffect concrete ได้ขนาดนี้
ขอบอกว่า…งานนี้คาห์น ไม่ปล่อยให้มีแม้แต่“เศษเสี้ยว”เดียวที่ไม่ได้คิดไม่ได้ออกแบบ ทุกสิ่งเค้าออกแบบมาเป๊ะหมด แม้แต่ไม้แบบไม้พิมพ์ที่สร้าง”Form” คาห์นทำหมดไม่เหลือที่ให้ผู้รับเหมาเลือกเองเลย ใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ
“ยิ่งเก่ายิ่งสวย”
ลูกค้าโจนาสก็ขอคาห์นไว้ แต่แรกว่า ออกแบบตึกมาน่ะ ต้องดูแลน้อยๆ และพอมันเก่าก็ยังสวยเพื่อตอบโจทย์ คาห์นจึงวัสดุที่ใช้ในงานนี้ เป็น คอนกรีต ไม้ กระจก และเหล็ก โดยที่ไม้และเหล็กไม่ได้ลงfinishing ที่ทำให้ค่อยๆดูเก่าไปตามเวลา มีความสวยในตัวมันเอง
“ผุพังไป..อย่างสง่างาม”ยิ่งอยู่ติดทะเล.. ไม่ต้องห่วงฮะ ผุแน่นอน!!! อย่างที่เห็น ค่อยๆแก่…แต่ก็สวยนะ ดูแล้วก็เพลินดี
Place Making สร้าง”สถาน”
เพราะไม่ใช่แค่จัดที่ว่าง แต่เป็นการสร้างสถานที่ให้มาใช้งาน งานนี้แบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน : MEET ที่พบปะ / STUDY ที่อ่านหนังสือ / LABORATORY ห้องทดลองซึ่งแต่ละส่วนมีความต้องการก็ต่างกันส่วนของงานวิจัย : คาห์นออกแบบให้ตึกซ่อนอยู่ในตึกอีกที คือให้ห้องLabทดลองแยกออกมาจากส่วนStudy และไม่ส่งเสียงรบกวนกัน เพราะทั้งสองส่วนต้องการความ”เงียบ” ตึกซ่อนอยู่ในตึก (Building in the building) คือแบบนี้ ภาพจากหนังสือ Louis Kahn : Essential Texts Mass อาคาร ในกลุ่มของ Study / Laboratories ค่ะ
รับแสงธรรมชาติมาเป็นช่วงๆ
ส่วนที่เป็นห้องทดลองจะมีหน้าต่างประตูสูงถึง 9 ฟุตเพื่อให้ขนย้ายอุปกรณ์สะดวก นี่คือทางเดินตรงโซนห้องทดลองค่ะ ดูแล้วก็ดูเป็นLabวิทยาศาสตร์จริง เหมือนสมัยเรียนมัธยมที่ไทยเลย 55 แต่นั่นไม่มีหน้าต่างใหญ่แบบนี้
เนื่องจากที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาดูทุกวัน นักวิทยาศาสตร์ที่นี่เลยนั่งทำงานไปมีคนเดินไปเดินมาและมองเข้าไปบ่อยๆ เลยมีคนเล่นมุขล้อเลียนว่า…กรุณาให้อาหารนักวิทยาศาสตร์(ผู้หิวโหย)ด้วยนะจ๊ะ!!
อันนี้คือหน้าต่างของห้อง Study ค่ะ รับแดด รับวิว
ส่วนนี่คือPaving ของ Plaza ที่นำพาเราเข้าไปส่วของ Lab/Study
สู่ท้องฟ้า
“you are going to hate me..but there’s no tree here”“คุณต้องเกลียดผมแน่…คือ มันจะไม่มีต้นไม้นะ….”
(รูป : แหมๆ ใครจะรู้..ว่าเค้าออกแบบมาให้คู่รักเดินสวีทกันแบบนี้ด้วย แหมๆๆ :D)
ทำไม…มันไม่มีต้นไม้เลย?
คาห์นเชื่อในสิ่งที่ หลุยส์ บารากอง (Louis Barragan) เคยบอกคาห์นว่า “สาเหตที่พลาซ่าต้องอยู่ตรงนั้น เพราะ..มันสร้างช่องเปิดอีกด้าน..ที่มองเข้าไปบนฟ้า”คาห์นคิดว่ามันสวยงามในแบบของมัน และมันเหมาะกับโครงการนี้
จริงๆตอนแรกคาห์นวางระบบไว้ให้มีต้นไม้นะ ใต้ดินเค้ามีระบบระบายน้ำรดน้ำเตรียมไว้แล้ว แต่สุดท้ายค้าบอกว่า ทำใจไม่ได้จริงๆ งานนี้มันต้องเป็นแบบนี้แทนที่จะเป็นสวนในตัวมัน Plaza นี้กลายเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างสวนทางเข้า ไปสู่อาคารและท้องฟ้ามากกว่าที่จะเป็นสวนในตัวมันเอง
เค้าเลยตัดสินใจออกแบบแบบนี้ เพื่อให้พลาซ่าพาเราไปเชื่อมสู่ฟ้าค่ะ เป็นที่ที่เอาไว้จัดงานนานนานที และเป็นที่ที่คนมานั่งพักผ่อน นั่งคิด นั่งคุยกันแต่จอมว่า เอาไว้ทำสมาธิก็ไม่เลวนะคะ มันนิ่งแต่ยิ่งใหญ่มาก
Timeless
งานนี้ไม่มีทางแก่ไปตามกาลเวลา มันเป็นมากกว่าแค่สถาปัตยกรรมยุคโมเดิร์น งานนี้ ไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมคาห์นถึงบอกว่าเป็นงานที่ดีที่สุดงานแรกของเค้า ที่เกิดขึ้นตอนเค้าอายุ 65 ปี พอมาคิดดูกว่าคาห์นจะมีงานที่เค้าพึงพอใจได้ มันก็ต้องใช้เวลามาก กว่าจะถึงวันนั้น พอมาดูงานนี้แล้วปลื้มใจแทนเลยพอไปถึงพบว่า สิ่งที่ดูในรูปบอกอะไรไม่ได้เท่ากับความรู้สึกที่สัมผัสได้ จากที่ว่างเหล่านั้นเลย รูปที่จอมถ่ายมาคราวนี้ก็เหมือนกัน ได้ไม่ถึงครึ่งของสิ่งที่เห็นที่ใจรู้สึกเลย.. คือ ต้องไปเลยค่ะ!!!
ถ้าจะให้เลือก จอมว่างานScaleนี้ ที่สถาปัตยกรรมสุดในแถบนี้ จอมว่างานนี้สะเทือนใจสุดจริงๆ
วัดกันตรงไหน? วัดด้วยความรู้สึกล้วนๆค่ะ เป็นอะไรที่ต้องสัมผัสเอง เพราะงานนี้คาห์นเค้าเล่นเรื่องออกแบบที่เข้าถึง Spiritual ด้วยงานนี้เป็นงานที่คุ้มค่ากับการมามากค่ะ ใช้เวลาทั้งวันมาได้แค่ที่เดียว และไม่ได้ใกล้ที่ไหนเลย คือถ้ามาต้องตั้งใจมา แต่บอกเลยค่ะว่าคุ้มมาก ถ้าชอบดูงานสถาปัตยกรรม จริงๆงานนี้จอมก็มากับคนที่ไม่สนงานสถาปัตยกรรมเลยอีกน่ะแหละ แต่เค้าก็ชอบนะ เพราะมันสวยจริงๆ และพอเค้าได้ฟังเรื่องของโจนาสกับคาห์นแล้วเข้าใจที่มาที่ไป เค้าก็ตกหลุมรักไม่แพ้กับจอมเลยค่ะ
งานนู้น งานนี้ไปมา จอมว่าสวย ชมแล้วชมอีก แต่ไม่มีงานไหนที่เคยเดินเข้าไปแล้ว บอกว่า “masterpiece” งานนี้ควรค่ากับการเป็นชิ้นเอกจริงๆ งานดีงานสวย ก็แค่ถ่ายรูปออกมาสวย แต่งานระดับเทพที่เปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจคุณได้ เราจะไม่มีทางลืมเลยค่ะ
แล้วที่ว่าต้องไปดูสักครั้ง ก่อนตาย จริงรึเปล่า มีค่าขนาดนั้นไหม จอมว่า…สถาปนิกที่อยากสัมผัสงานระดับเทพสักหน ต้องมาดูงานนี้ มันสมคำร่ำลือจริงๆค่ะ
จอมมีVDO สั้นๆที่ถ่ายตอนเดินเล่นที่นั่นมาให้ด้วย ถ่ายไม่เก่งนะคะ แต่ว่าเผื่อใครอยากจะเห็นเป็นสามมิติสั้นๆ 36 วิเองค่ะ
หวังว่าจะชอบกันนะคะ ชอบไม่ชอบบอกกันได้ค่าาา
จอม ;D
สถานที่ : Salk Institute of Biological Studies , La Jolla, San Diego.
สถาบันวิจัยซอล์ค เพื่อการศึกษาชีววิทยา , ลา โฮย่า ซานดิเอโก้
เขียน : จอม Dream Action
รูปถ่าย : จอม Dream Action
แผนที่ : Google Earth