12 อุปสรรค สุดคลาสสิค…ในการทำงานสถาปัตย์
มีน้องสถาปัตย์ส่งคำถามมาว่า อยากให้เล่าเรื่องอุปสรรคและปัญหาในการทำงานให้ฟังหน่อย…
สมัยเรียนมีปัญหา ระดับหนึ่ง พอเริ่มทำงานปัญหาก็ตามมาพร้อมกับขนาดที่เพิ่มขึ้น ปริมาณที่เยอะ และซับซ้อนขึ้น
แต่เพื่อสายอาชีพที่เรารัก ให้เราอยู่กับมันได้อย่างยั่งยืน มาดูกันดีกว่า ปัญหา อุปสรรคสุดคลาสสิค มันคืออะไร แล้ว พอมีวิธีอะไรจัดการกับมันได้บ้าง
มาดูกัน !!
1. ปัจจัยภายนอก ความไม่คาดฝัน ปัญหาที่ควบคุมไม่ได้
ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย มาในรูปแบบหลากหลาย ทั้งตั้งแต่เรียน และจนเวลาทำงาน
เช่น..
ลูกค้าอยู่ดีดีก็โทรมาของานล่วงหน้า พรุ่งนี้เช้า…!!
Meeting โดนเลื่อนเร็วขึ้น ..
แบบที่แสนจะปลื้มใจ แต่กลับโดน..อาจารย์ และ เจ้านายล้มแบบ …
ลูกค้าเปลี่ยนใจ ขอOption เพิ่ม …
สิ่งเหล่านี้ รับมือได้ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสให้เตรียมการล่วงหน้า
วิธีรับมือ
ทำใจให้นิ่ง และแก้ปัญหาในทางออกที่ทำได้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ก็มันต้องผ่านไปให้ได้ สิ่งที่ทำได้ข้อแรกคือ ปรับใจ
เวลาเราล่ก สมาธิเราจะสั้น ความสามารถในการแก้ปัญหาก็จะลดลงไปด้วย
มาเริ่มที่ตัวเรา จัดการสิ่งที่เราทำได้ แล้วเตรียมลุย!
2. เวลามีน้อย…เหลือเกิน | งานเยอะ แต่ ระยะเวลาจำกัด
Always in a pinch
การทำงานในสายเรา หลายๆทีก็คิดนะว่ามันจะเหมือนหลังชนฝาตลอดเวลา อะไรจะบ่อยขนาดนี้
เวลาทำงานหลายๆครั้ง ถ้าไม่นับว่ามาจากสิ่งที่คุมไม่ได้ เราจะพบว่า
หลายหนมาจากงานที่ถาโถมเข้ามา แบบเดดไลน์ชนเดดไลน์ ปราณีหน่อยก็ วันเว้นวัน แต่ที่เจอแล้วรู้สึกล้นมือ(Overwhelm) คือเดดไลน์มาวันเดียวกัน 2 งาน!!!
แม่เจ้า… มากี่ที…เจอกี่ที ก็ยังทำให้เราใจสั่น ตื่นเต้นเหมือนเพิ่งไปวิ่งคาดิโอมา ทั้งที่ยังนั่งนิ่งอยู่หน้าจอคอม!!!
อันนี้ แม้จะยังสะเทือนใจทุกครั้งที่เจอ แต่ก็พอมีทางออกค่ะ
ทางนั้นเรียกว่า.. การบริหารเวลา
จริงอยู่เวลาเรามีน้อย แต่งานเยอะ แต่ข้อดีคือ มันทำให้เรารู้ว่า เราต้องทำให้เสร็จเมื่อไหร่
ห้ามลังเล และอะไรที่ต้องมานั่งชั่งใจ แปลว่าต้อง”ตัดใจ” และเอาทางออกหนึ่งไปเลยอ่ะ
แหม..ถ้าเวลาเยอะ ก็แก้แบบแล้ว..แก้แบบอีก “เอ๊อออ ยังมีเวลา อันนี้นิด อันนี้หน่อย สวยยัง อ๊ะขยับเส้นนี้หน่อยดีกว่า.. อ้าวตายละ ขยับเส้นเดียวนี่แก้ยกแปลน…”
พอเหอะ จังหวะนี้…วางปากกา!!แล้วทำให้ครบทุกสิ่งที่ต้องทำ ในปริมาณที่เวลาเอื้ออำนวย
วิธีแก้คือ
- แบ่งเวลาในการออกแบบ (Design) กับ ผลิตแบบ (Production) จอมจะแบ่งเลยมีหน้าที่ 1-2-3-4 แต่ละอย่างใช้เวลาเท่าไหร่ ให้เป็นเลขกลมๆ เผื่อเวลาซวย คาดไม่ถึงไว้อีกซักชั่วโมง
- เรียงลำดับความสำคัญของงานว่าจะต้องทำอะไรเสร็จแน่ อะไรไม่เสร็จไม่ถึงตาย ตัดทิ้ง ถ้าเวลาไม่พอแล้ว
- Focus และ เด็ดขาด เวลาน้อย เอาเวลาไปใส่ในงานให้เต็มที่ จังหวะนั้นจะเลิกเล่นเฟสบุค เพราะมันทำให้ Speed เราตกได้กว่าที่เราตั้งใจทำแต่ฟังเพลงสิ ช่วยได้มากนะ ยิ่งฟังเพลงจังหวะมันมัน โหพี่น้องคะ…นึกว่ากำลังอยู่ในสนามแข่งรถ เหยียบมิด !อ่ะพร้อมแล้ว…ก็ใส่ Nitrus แล้วพุ่งเลยยยย
3. Unhealthy Revision | แก้แบบพร่ำเพรื่อ
การแก้แบบเป็นเรื่องปกติของการทำงานออกแบบ ที่ต้องพัฒนาความคิดและแนวทางเลือกเพื่อให้ได้งานออกแบบที่ดีที่สุด เหมาะสมกับงานนั้น
แต่….การแก้แบบต้องแก้อย่างมีหลักการและเหตุผล ไม่ใช่แก้แบบพร่ำเพรื่อการแก้ไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ได้แปลว่าจะเป็นPerfectionist ห้ามเหมา
หลายๆทีปัญหามันมาจาก : unclear goal, lead to indecisive designคือ การที่มีเป้าหมายไม่ชัดเจน การไม่มี Framework หรือ การที่ใช้แค่”ความงาม”ในการตัดสินใจ
แล้ว โถๆๆๆๆๆ ความงามมันอยู่ในสายตาคนมอง (เลอ คอร์บูซิเออร์ กล่าวไว้) แล้วจะจบลงตรงไหนละเนี่ย
จอมเคยเจอ ตัวอย่างนึง
นายบอก “นี่..ผมอยากได้ศาลาที่ออกแนว Art Deco แบบ Cool ๆ ไปลองคิดมาหลายๆแบบ “
ประเด็นคือ เจ้านายไม่มีไอเดียอะไรเลย รู้แต่จะเอาสไตล์นี้แหละ เพราะลูกค้าน่าจะชอบ
เราก็ทำไปตอนแรก 3 แบบ พอให้เค้าดูเค้าไม่ชอบเลยสักอัน เค้าก็เขียนมาให้ใหม่ แบบนี้ๆ ใช้ฟอร์มแบบนี้สิ
เราไปทำใหม่มาอีก 4 แบบในคอนเซปเดียวกัน คาดว่า น่าจะโดนใจแกบ้างอย่างละนิด
เปล่าเลย… แบบเราทำให้เจ้านายพบว่า ไอเดียเค้าเองไม่เวิร์คว่ะ เค้าเปลี่ยนใจละ คือ ไม่ใช่แค่เราคิด เค้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไรต่อเอ้า..เอาแล้วไงล่ะ!!! แล้วงานนี้ก็วนเป็นลูปนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำไปจะ 20 แบบ!!
ประเด็นคือ ที่ทำกันมาจนแบบสุดท้าย นายไม่มีอะไรในใจ แม้แต่เฟรมเวิร์ค คือกรอบของไอเดีย ที่ช่วยบอกว่าต้องทำยังไง ถึงจะถึงเป้าหมาย
งานนั้น ไม่มี Framework อะไรที่ใช้เพื่อตรวจสอบคุณภาพงานได้ นอกจาก..”ความชอบ และความสวยงาม ในสายตานาย”
โดยที่ คนคนนั้นไม่รู้ว่า จะพอใจตรงไหน
คือ เจอแบบนี้ยากค่ะ
วิธีรับมือ
ทำได้ คือ สื่อสารให้เคลียร์ วางเป้าให้แม่น ต้องใช้ เป้าหมาย และ Checklist มาคุยว่ามันตรงตามเป้าแล้วนะ จะเอาอะไรอีก เวลาหมดแล้ว ทำได้นะ แต่เกินงบนะ! เอาป่าว…?
ต้องหาจุดตัดสินใจค่ะ การใช้ เป้าหมาย หรือ ข้อกำหนดนี่แหละ เวิร์คสุดไม่งั้นก็จะแก้ไปเรื่อย สุดแต่อารมณ์คนตรวจ แบบนี้เหนื่อยออกทะเลไปเลยค่ะ
4. Ideas blocked คิดแบบไม่ออก ออกมาไม่ถูกใจ
เคยคิดแบบไม่ออกไหม?อย่าบอกว่าไม่เคยนะ!
จอมเคยนะ บ่อยด้วยสมัยแรกๆ แต่พอเริ่มอยู่กับกระบวนการออกแบบ เยอะๆ ก็มีวิธีจัดการกับมันได้ระดับนึง (คิดว่านะ..)
ถ้าคิดไม่ออกแปลว่า ต้องปรับวิธีคิดใหม่ เปลี่ยนวิธีมอง แล้วมันจะคิดออกค่ะ
ต้องกล้าล้มแบบตัวเอง เริ่มใหม่ แล้วอะไรจะดีขึ้น
ไอเดียแบบบิงโก นี่มันมักจะมาตอนหลังชนฝานะ
ถ้าไม่ดี.. “เปลี่ยน” วิธีการมองซะ
ถ้าหัวสมองตัน ก็หาทาง Reset สมองตัวเองด้วยการไปทำอย่างอื่นที่ทำให้สดชื่นสัก 30 นาที อย่างเช่น ออกกำลัง เล่นดนตรี เดินเล่น แล้วค่อยมาลุยต่อ
5. ขาดความเชื่อใจ จากคนในทีม
เป็นไหม? ที่พูดไปแรกแรก ไม่มีใครเชื่อเรา
ทำไมรู้สึกเหมือนเค้ายังไม่เชื่อใจเราเท่าไหร่ เวลาแสดงความคิดเห็น
สิ่งนี้เกิดได้ง่าย กับการที่เราเพิ่งเริ่มทำงานกับที่ใหม่ เจอคนใหม่ๆที่ไม่รู้จักเรามาก่อน (ไม่นับเรื่องเห็น portfolio นะ)
วิธีรับมือ=ให้เวลาพิสูจน์เรา
อันนี้ต้องใช้เวลาในการแสดงความสามารถ ให้เค้าเห็นและยอมรับในตัวเราค่ะใจเย็นๆ เราไปบังคับให้ใครรักเราไม่ได้ ให้ใครเชื่อเราแต่แรกไม่ได้ ของอย่างนี้ต้องค่อยๆสร้างค่ะอย่าน้อยใจไป ทำดีไปเรื่อยๆ เหมือนเราต้องให้เวลาเพื่อเรียนรู้กันและกันค่ะ เราใหม่กับเค้า เค้าก็ใหม่กับเรา อย่าไปท้อ เปิดใจ และทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดDon’t take it personal. Keep it professional.
6 . การสื่อสาร
เวลาเรียนและทำงานกลุ่ม ก็จะเริ่มได้รับการปูพื้นฐานปัญหา นี้ เหมือน Introduction อุปสรรคชนิดนี้ หลายครั้งเกิดจากการที่มีความคาดหวังไม่ตรงกัน และไม่ได้สื่อสาร กันให้ชัดเจน
พอออกมาสู่โลกความจริง ในการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรม ภูมิสถาปัตยกรรม อุปสรรคชนิดนี้ก็เริ่มซับซ้อนขึ้นอีก เพราะต้องติดต่อ และทำงานร่วมกับคนอื่นเยอะมาก และมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสรรค์ และผลิตผลงาน
เลยต้องจัดการมันให้ได้!!
บางทีปัญหาจากการสื่อสาร คือ
- สื่อสารมากไป เช่น มีประชุมมากไปจนไม่ได้ทำงาน กว่าจะได้เริ่ม เฮ้ย หกโมงเย็น…ได้นอนป่าววะเนี่ย..
- สื่อสารน้อยไป บางทีการที่ไม่คุยกันระหว่างคนในทีม หรือคนที่สร้างงานร่วมกัน ทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ได้ข้อมูลสำหรับการออกแบบเพิ่มมาแต่ไม่ได้บอกเพื่อนร่วมทีมที่มีส่วนต้องใช้ข้อมูลนั้นๆ หรือ บางทีแบ่งหน้าที่ไม่ชัดเจน สรุปทำงานซ้ำกัน หรือ ทำขาดไป
- สื่อสารไม่ตรงประเด็น อันนี้อาจจะอยู่ในปริมาณที่พอดี แต่ว่าดึงเอาข้อมูลที่จำเป็นที่สุดที่ทำให้งานเสร็จไม่ได้ ง่ายๆคือ ถามไม่ถูกคำถาม
ตัวอย่างเช่น เราต้องเตรียมทำ Powerpoint Presentation ให้เจ้านายไปพูด นายบอกลองเตรียมให้หน่อย เอา 1-2-3-4-5 แล้วลองเรียงดู เรากลับไปทำ… พอเค้าดู ไม่ได้ดั่งใจเรียงไม่ถูกใจ อยากได้นู่นนิดนี่หน่อยเติมไปอีก และบางทีเออ เอาหน้านี้ออกดีกว่า แก้บานนนน
ทางแก้คือ สร้างความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ว่าอะไรคือ เป้าหมาย และเรื่องที่เล่า ประเด็นที่จะสื่อในการพูดครั้งนี้ คำถามที่ดีช่วยให้เราได้ข้อมูลที่เอามาเป็นแนวทางได้ดีด้วย เพราะไม่ใช่ว่าคนเป็นเจ้านายทุกคน..จะพูดรู้เรื่อง และรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และการที่กล้าถาม ไม่เกรงใจจนสื่อสารน้อยไป ก็เป็นสิ่งสำคัญ
การสื่อสารที่พอดี และมีคุณภาพช่วยให้งานราบรื่นได้มากกก
7. Why can’t I shine? | ทำไมเราไม่เกิดสักที?
หลายๆที ที่”เออ เราก็ทำได้ดี เราอยากทำงานส่วนนี้ ทำไมเค้าไม่ให้เราทำนะ ?”หลายๆคนก็อาจจะ มีอาการน้อยใจพาลไปคิดถึงว่ามันเพราะ
ต้องมี..เจ๊ดัน!!
บางทีก็ไม่แปลก ในการที่เราไม่โดดเด่นในองค์กรณ์ เพราะเราไม่มี “คนดัน” เลยไม่ได้เลื่อนขั้น ไม่ได้ทำหน้าที่นี้ หน้าที่นั้น
เป็นสิ่งที่คิดได้ แต่เสียเวลา เพราะแก้อะไรมันไม่ได้ มาคิดดีกว่า ว่าเราต้องทำอะไรกับอุปสรรคเหล่านี้
จริงๆแล้ว…เราต่างหากค่ะ ที่ต้อง “ผลักดัน”ตัวเองที่ว่าดันนี่ไม่ได้ไปเหยียบหัวใคร ขึ้นนะคะ เราไปของเราเองเนี่ยแหละ แต่..แค่เรียนรู้ที่จะ “พูดให้ตัวเอง” “เล่าสิ่งที่ทำ” และ “บอกความต้องการ”
ถ้าไม่มีใครบอกว่า “คนนี้ทำได้” เราต้อง Nominate ตัวเราเองค่ะ
อย่ารอให้ใครมาสนับสนุน หรือมาดันเรา
โอกาสไม่หล่นมาที่มือเราเอง
Be your own advocate!! ดันตัวเอง!! อย่ารอเจ๊
8. Scope Creep | งานเกินขอบเขต
พอเริ่มทำงาน เจอลูกค้าหลากหลายแบบ หลายทีเจอลูกค้าเนียน ขอเพิ่มๆ ทำอันนี้แถมด้วยสิ ขอนี้ด้วยได้ไหม สรุปว่าที่ท่านขอมานั้น…ไม่ได้อยู่ในสัญญา (Contract) แต่ขอไว้ก่อน
ทีนี้ไอ้เราก็เกรงใจ กลัวเสียลูกค้า เลยทำไป “เอาน่ะ นิดหน่อย”
แล้วพอหลายหน่อย ก็กลายเป็นการส่งเสริมระบบ “ทำงานฟรี”ให้ยิ่งเป็นวัฒนธรรมปกติ ประกอบกับ เป็นการยอมให้เค้า “ดูถูกวิชาชีพ”ตัวเองไป
ทางออก คือ เขียนสัญญาใหม่เพิ่ม เป็น Add Service เพื่อแสดงถึงการเพิ่มเติมบริการทางการออกแบบ
แต่จะทำได้ง่าย ราบรื่นหรือไม่ก็อยู่ที่ลูกค้า และพลังในการดีลกับคนของเรา..
โอเค หลายที ต้องทำงานหนักเพื่อสร้างความประทับใจ อันนั้นไม่ได้เป็นการทำนอกScope แต่อย่างใด แต่เป็นการแสดงคุณภาพอย่างเต็มที่ค่ะ อันนั้นทำไป ไม่ต้องยั้ง แต่ถ้าเกิน…เค้าเนียนมา… เราก็ต้องยิ้มรับ ส่งสัญญากลับ..
“รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มเหรอจ๊าาาาาา มา 10 บาท!!”
(เดี๋ยวๆ บริษัทออกแบบ..ไม่ใช่ 7-11)
9. Idle &waiting | รอ รอ รอ ฉันรอเธออยู่
หลายที ที่เริ่มงานไม่ได้สักทีเพราะต้องรอไฟล์จากอีก Consultant พอได้มาก็เหลือเวลาน้อยหรือไม่พอ
อันนี้เป็นปัญหาคลาสสิค ที่แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง
แก้ได้บ้าง….
บางทีจะเป็นต้องเริ่มทำก่อน และ หลังจากนั้นมาแก้อีกที เพื่อเอามารวมกัน อาจจะต้องใช้เวลางานเพิ่ม แต่ก็จำเป็นเพราะวันที่ต้องส่งก็คือ ต้องส่ง แต่สุดท้ายถ้าประเมิณเวลาแล้วว่าไม่คุ้ม รอดีกว่า ก็รอเถอะ
แก้ไม่ได้..ก็ไม่ต้องแก้
อะไรที่ทำได้ไปก่อนก็ทำ พอหมด..เหลือได้แค่รอ..
ก็เอาเวลารอไปทำอย่างอื่นรอ อย่างเช่น…ถ้ารู้ว่าถ้ามาต้องอัดหนักยันเช้า…ทางออกที่ดีที่สุด คือ นอนรอ..
นอนพอ จะได้มีแรงทำงานไง!!
บางทีการไม่ทำอะไร…ก็คือการทำหน้าที่ ที่ต้องทำเหมือนกัน รอจ้ะ..
10. That file is a disaster|ไฟล์มหาภัย
ทีนี้ พอได้ไฟล์งานจาก Consultant มา… ใช่ว่าจะมาสวยเสมอไป
บางทีเราน่ะ ทำงานมาดีแล้ว แต่แหมมมม พอได้ไฟล์จากชาวบ้านมาเท่านั้นแหละ ก่อนเปิดไฟล์ถึงกับสวดมนต์ในใจเบาเบา…”อย่าเน่านะแก” หวังว่าเปิดไฟล์มา จะไม่เจออะไรหลอนๆ
ไงล่ะ เปิดไฟล์มา ทำไม เส้นประตู ไปอยู่เลเยอร์เดียวกับ ต้นไม้วะ แล้ว…ทำไมชื่อ เลเยอร์คือ A-floor เดี๋ยวๆๆๆๆๆ มันใช่เหรอว้าาาาาาาาา
ไงล่ะ ส่ง Sketchup มา แต่ทุกอย่างอยู่ Layer0 แล้วเวลาอยากเปิดปิดเลเยอร์ คน รถ ต้นไม้ หรือ Object อะไรก็เสียเวลาแย่เลยดิ!
คุณพระ ส่งไฟล์มาช่วยทำงาน หรือ สร้างงานเพิ่มคะ!! เฮีย
นี่แหละ ปัญหาคลาสสิคงานโดนวางยา(เค้าไม่ได้ตั้งใจหรอกนะคะ)
ไฟล์ส่งมาไม่เรียบร้อย เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยแตกต่างกัน ตามแต่ประเทศ และคุณภาพบริษัทด้วย เคยเจอโหดสุด ก็จากที่ ไทย และวิศวกรจากอียิปต์ พี่แขกดุมากกกกก ต้องไปจี้ ถึงจะปรับ
ทางแก้
สื่อสารกันตั้งแต่ต้น ว่าช่วยกรุณาใส่ใจเรื่อง 1-2-3-4 เพราะจะช่วยทำให้การทำงานร่วมกันสะดวกขึ้น
อย่าเกรงใจ..มันคืองาน ไม่ใช่เรื่องต้องเกรงใจเราไม่ได้ทำงานด้วยกัน ช่วยกันทำให้ดีเหรอ?
ไม่เกรงใจไม่ได้แปลว่า ให้ด่าทอ พูดจาแรงแรง แต่ให้สื่อสารอย่างตรงไปตรงมา อย่างสุภาพ หน้ายิ้มๆ
11. งานล้มมือ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ| Can’t say “No”
งานล้นมือ เข้ามาแล้วเข้ามาอีกที่ทำอยู่ก็เยอะแล้ว ก็มาอีกทำไงดี
สมัยแรกๆ จอมยินดีกับทุกงานที่ให้ ถ้าเราทำได้ จอมไม่ปฏิเสธเลยค่ะเพราะถือว่า เค้าเห็นคุณค่าเรา ไว้ใจเรา
แต่ถ้า…งานที่เค้าให้เรา เราทำไม่ได้ หรือ ทำได้ไม่เต็มที่ เราควรจะบอกเค้าว่า.. เราทำได้ในข้อจำกัดอะไร หรือ บอกไปว่า “ทำไม่ได้”
การบอกว่าทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง
แต่แปลว่าเรามีความเป็น”มืออาชีพ” และรับผิดชอบในสิ่งที่จะทำ
การบอกไปว่าเราทำไม่ได้ แต่แรก ดีกว่ามาเสียเครดิตที่หลังเวลาเราสัญญาว่าจะทำให้แล้วทำไม่ได้ หรือทำได้ไม่ดี
ถ้างานเยอะไป จะให้เวลาไม่พอ จะทำงานเค้าไม่ทันก็อย่ารับปาก
แต่หลายๆที ก็มีกรณีที่เราทำได้ แต่เราต้องแลกเวลาส่วนตัวมาทำ
บางที..ที่บางบริษัทไม่ยอมจ้างคนเพิ่ม แต่ก็ใช้คนในบริษัทต่อไปจนต้องทำงานล่วงเวลาติดต่อกันนาน บางทีงานก็ล้นมือมากจนทำไม่ทันแล้วถ้า อยู่ดีดีก็มีคนโยนงานมาให้ มาขอให้ทำเพิ่มล่ะ ทำไง?
เวลาแบบนั้น ก็เช่นกัน… ทำให้เต็มที่เท่าที่ทำได้ ตามหน้าที่เราโดยไม่ “Kill yourself to do it” เพราะถ้าเราป่วยไป สุดท้ายออฟฟิสก็หาคนมาแทน แต่ครอบครัวเราและตัวเรา จะให้ใครใช้ชีวิตแทนเรา
จอมพูดไปนี่ก็แทบตายมาหลายหน แต่พอป่วยนี่คือ เอาตังทำงานมาไปหาหมอ…หมดตัวอีก
ทำแต่พอดี และรู้ขอบเขต ปฏิเสธให้เป็น
12. I don’t like it | งานที่ไม่ชอบ แต่ต้องทำ
บางทีในการทำงาน หรือแม้แต่ตอนเรียน ก็มีบางส่วน บางวิชาที่เราไม่อินกับมันเอาซะเลย แต่ไม่ว่าจะด้วยความจำเป็นต้องทำ หรือ ต้องการผลผลิตจากการทำสิ่งๆนั้น ก็ทำให้เราต้องทำมัน
ไม่แปลก..
การที่เราได้ทำสิ่งที่เรารัก ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องชอบมันไปทั้งหมด แต่เราเลือกแล้ว ก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ทั้งส่วนที่ชอบเหลือเกิน หรือส่วนที่ไม่อินเท่าไหร่
จริงๆจอมว่าเรื่องนี้ เราถูกเทรนมาตั้งแต่พวกเราเด็กๆแล้วนะคะ ลองนึกนะคะ สมัยเด็กๆเลยก็ “ต้องทำการบ้านให้เสร็จก่อน แล้วจากนั้นจะไปเล่นไปทำอะไรก็ทำ” หรือแม้แต่เรียนมัธยม ที่ชอบจริงๆไม่กี่วิชา แต่วิชาบังคับก็ต้องเรียนไปด้วย จะชอบหรือไม่.. เราก็มีภูมิต้านทานมานะ
บางทีเราก็ต้องทำสิ่งที่ไม่ชอบ เพื่อให้เรายังได้ทำสิ่งที่เรารักต่อไป
Find the fun! and…Snap! หาจุดสนุกๆ และลุยเลย!
มานั่งคิดดีกว่าว่า เออ เราทำสิ่งที่เราไม่ชอบ เราไม่ได้เสียอะไรนะ แค่อาจจะไม่สนุก แต่ว่าเราได้สกิลใหม่มา เอาไปใช้ได้ มีความถนัดที่รอบด้านมากขึ้น มีประโยชน์ ก็ทำไปเถอะ ลองมองหาข้อดีในส่วนที่เราไม่ชอบดู
เคยฟังเพลงบอกว่า Just a spoonful of sugar makes a medicine go down in a most delightful way.(Mary Poppins) คือ เติมความหวานของน้ำตาลลงไปในยาขม จะช่วยให้ขมน้อยลงได้อย่างดีที่สุด
เราต้องหาข้อดีในส่วนที่เราไม่ชอบ มีความสุขกับมันให้มากขึ้น
เอนจอยกับงานค่ะ!!
จอมเชื่อว่า ทุกสายอาชีพ ทุกงานมีข้อดี ข้อเสีย และข้อปวดหัวแบบของตัวเอง การที่พยายามเข้าใจที่มา และหาทางจัดการกับปัญหานั้นๆ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เราผ่านวันที่เต็มไปด้วยอุปสรรคได้ค่ะ
ชีวิตถ้าไม่มีอุปสรรค มันก็ไม่เท่ห์ ไม่สนุกสิ!!
คนเราจะเก่งได้ ก็ต้องผ่านอุปสรรค และปัญหามานี่แหละค่ะ!
ดังนั้น ยืดอก เตรียมใจ รับมันให้อยู่มือ เราจะผ่านมันไปได้ค่ะ และพอผ่านไปได้เราจะเก่งกว่าเดิมทุกๆครั้ง และได้พลังความถึกเพิ่มมาด้วย
คนไม่เคยเจอปัญหา คือ คนที่ไม่เคยผ่านอะไรมาเลยในชีวิต
นี่แหละ.. เราใช้ชีวิตอยู่แล้วไง เราเลยเจออุปสรรค ไม่แปลกเลย แต่เราเลือกจัดการกับมันได้ โดยใช้ชีวิตให้มีความสุข เท่าที่จังหวะนั้นเราทำได้ค่ะ
ทำได้!
วันนี้ฝากไว้เท่านี้ค่าาาา
เป็นยังไงกันบ้างคะ มีข้อไหนที่เจอกันบ่อยๆเหมือนกันรึเปล่า หรือว่า มีข้อไหนไม่คุ้นเลย ก็คิดซะว่าเตรียมใจไว้นะ เผื่อวันนึงมันมาถึงจะได้ไม่เหวอ ;Dใครมีปัญหาสุดคลาสสิคอะไรไปที่จอมตกหล่น ก็เสริมเพิ่มมาได้จ้าาา