ช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา จอมได้มีโอกาสเดินทางไปรัฐ Texas เมือง Fort Worth ครั้งแรก แล้วก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ มีเวลาแค่ 1วัน สำหรับการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวที่อยากจะไปดู
วันเดียวเหรอ?!! งั้นก็ต้องไฮไลท์ล้วนๆสิ!!ในหนึ่งวันนั้นจอมได้เข้าไปเดิน สัมผัส 3 สถาปัตยกรรม ที่ออกแบบโดย 3 สุดยอดสถาปนิกของโลก นั่นคือ
- Modern Art Museum of Fort Worth ออกแบบโดย Tadao Ando
- Kimbell Art Museum (Kahn Building) ออกแบบโดย Louis Kahn
- Kimbell Art Museum (Piano Pavilion) ออกแบบโดย Renzo Piano
ที่เจ๋งคือ ไปที่เดียวนี่แหละค่ะ แล้วเดินต่อถึงกันหมดเลย และนอกจากงานสถาปัตยกรรม ยังได้เห็นงานศิลปะเจ๋งๆทั้งแกลลอรี่ในอาคาร ไปจนถึงงานศิลปะที่อยู่ภายนอก ของศิลปินดัง และเทพเรื่องงานเหล็ก อย่าง Richard Serra อีกด้วย!!
บอกได้ว่า ในเวลาไม่ถึง วัน ก็อิ่มใจ เต็มไปด้วยพลังดีดี จากงานหล่อๆ ทั้ง สาม งาน
ไปดูกันเลยค่ะ !!
1 – Modern Art Museum of Fort Worth ออกแบบโดย Tadao Ando
ที่ตั้ง | Location
Museum นี้ตั้งอยู่ในสวนที่เป็นส่วนหนึ่งของ ย่านวัฒนธรรมของเมือง Fort Worth ที่เรียกได้ว่าเค้าคิดมาเลยว่าในย่านนี้จะมีแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว และคนในท้องที่ให้มาทำกิจกรรมในย่านได้หลากหลาย ตรงข้าม Museum นี้ก็มี Kimbell Art Museum ให้เดินต่อไปเลยด้วย นอกจากงานนี้ ที่จอมได้ไปดู จริงๆแล้วยังมีงานอื่นในเมืองนี้อีก (ที่ไปดูไม่ทัน ฮา) เช่น Amon Carter Museum by Philip Johnson
ที่มา และ แนวคิด | Background & Concept
ความตั้งใจของ อันโดะ ในงานนี้คือ “สร้างสถาปัตยกรรมที่ตราตรึงในใจของคนที่มาเยี่ยมเยือน และสัมผัสที่ว่างในสถาปัตยกรรมแห่งนี้”
โดยที่ อันโดะ เค้าคิดถึง ประวัติศาสตร์ และความเป็นไป ของพื้นที่ เนื่องจากที่นี่คือ Texas ซึ่ง ร้อนมาก!!! ร้อนเหมือนเมืองไทยเลย ฮาๆๆ
สำหรับอันโดะ Texas ทำให้เค้านึกถึง ทะเลทราย
ข้อคำนึงเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการออกแบบมาก และสะท้อนออกมาในงานออกแบบ เป็น การสร้างชายคาที่ยื่นออกมานอกอาคารที่ลึกมากกว่าปกติ เพื่อจะช่วยสร้างภาวะอยู่สบายของคนในอาคาร และช่วยในการหลบแดดที่แรงเป็นปกติของเมือง
น้ำ และงานสถาปัตยกรรมของ Tadao Ando
น้ำเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่พบได้บ่อยมากในงานของ อันโดะ และงานนี้เป็นงานที่เห็นได้ชัดมาก อันโดะใช้ผืนน้ำ นิ่ง ขนาดใหญ่ล้อมรอบตัวอาคาร และสร้างภาพสะท้อนอาคารลงผืนน้ำได้เต็มทั้งอาคาร ทำให้ไม่ใช่แค่สถาปัตยกรรมเป็นสถาปัตยกรรมแค่ตัวอาคาร แต่พื้นน้ำ และภูมิทัศน์ที่รองรับอาคาร มาด้วยกัน อย่างแยกออกจากกันไม่ได้สำหรับอันโดะ เมื่อน้ำอยู่คู่กันกับแสง น้ำเป็นอีกสิ่งที่ ใช้แสดงการเปลี่ยนแปลง และการเดินทางของกาลเวลา โอ้ว ลึกซึ้ง….
Form & Space
โครงการนี้ อันโดะ ใช้ Geometry ที่เรียบง่าย โดยเอามาประกอบกับแสงธรรมชาติ และ น้ำ โดยที่ใช้วัสดุแบบMinimal ตามสไตล์เค้า
Museum นี้ประกอบไปด้วย อาคารที่มีปริมาตรสี่เหลี่ยม 5 อัน ที่มีขนาดสั้นยาวต่างกัน วางขนานกันไป
โครงสร้างแบ่งออกเป็นสองชั้น คือชั้นของ คอนกรีต และ ชั้นของกระจกส่วนอาคารที่มีปริมาตรสี่เหลี่ยมชิ้นแรก รองรับใช้งานในส่วน ทางเข้าอาคาร ล๊อบบี้ ห้องประชุม และร้านค้า
ส่วนที่เป็นรูปทรงวงรีแยกออกมาจากอาคารสี่เหลี่ยม นี่คือ ร้านอาหาร ที่ทำให้พื้นที่นี้มีความพิเศษเหมือนเป็นมุมเฉพาะของร้านอาหารเลย เพื่อมองย้อนกลับมาที่ตัวอาคารหลัก มุมมองจากร้านอาหารนี่แหละ ที่มองกลับมาสู่อาคารและเท่ห์ เว่อร์วัง อลังการที่สุด!!! เพราะเหมือนกับเรามองไปในส่วนของอาคารที่วางบน Water Plaza ที่เหมือนกระจกสะท้อนอาคาร อย่างที่ อันโดะตั้งใจไว้
โครงสร้าง “Y”
ปริมาตรอาคาร จะมีโครงสร้างเป็นเสารูปตัว Y ช่วยรับโครงสร้างหลังคาคอนกรีตที่ยื่นออกมา โดยที่โครงสร้างนี้ก็ได้กลายเป็น สัญลักษณ์ของ Museum นี้ไปเลยผนังกระจกกรอบเหล็ก 40 ฟุต นี้ช่วยในการ “ล้อม”พื้นที่จัดแสดงงาน (Exhibition Space) ที่เป็นคอนกรีต
แสง และ เงา | Shadow & Light
ตัวสถาปัตยกรรม รับแสงธรรมชาติผ่านเข้ามา ใน 2 ลักษณะใหญ่ๆที่ถูกจัดวางอย่างมีขั้นตอนที่ละเอียดอ่อนซับซ้อน คือ ม่านกระจก (ผนังกระจกนั่นแหละ) ที่รับแสงมาจากส่วนปริมาตรสี่เหลี่ยม และ แสงจาก Skylight ที่พาดผ่านมาจากโครงสร้างโปร่งแสง (Translucent) ผ่านทะลุเข้ามาในส่วนจัดแสดงงาน ที่เป็นปริมาตรคอนกรีต
เห็นได้เลยว่า แสงธรรมชาติ เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการออกแบบ Museum นี้ งานนี้เนี่ย ใช้เทคนิคของแสง แบบIndirect ที่แสงธรรมชาติเข้ามาแบบสะท้อน แต่ไม่ได้สาดมาใส่ตาเราโดยตรง หรือแม้แต่แสงที่ได้รับการกรองให้Soft ลง ก่อนเข้าสู่ตาเรา
วัสดุ | Material
คอนกรีต เหล็ก อลูมิเนียม กระจก และ หินแกรนิต
ภาพของ Museumนี้ สะท้อนลงไปในบ่อน้ำแบบชัด และแรงมาก
น้ำและกระจกเป็นองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ที่ส่งเสริมและเข้ากันมาก เวลาที่น้ำนิ่งนี่คือทำหน้าที่เหมือนกระจกที่สะท้อนอาคาร
กระจก และ การเชื่อมโยง |Glass and Connection
ผนังโดยทั่วไป คือ การสร้างที่กั้น แบ่งเขต และป้องกันสิ่งภายนอก แต่การใช้ผนังกระจก ทำให้เส้นเขตแดนทางสายตา ระหว่างภายในและภายนอกอาคารนั้นหายไป แต่กลับทำการเชื่อมภายใน และภายนอกเข้าหากัน น้ำไม่ได้แค่สะท้อนอาคาร แต่แสงที่กระทบจากน้ำสาดเข้าไปในอาคารยังช่วยสร้างบรรยากาศจากเงาที่เคลื่อนไหวอีกด้วย
ในอาคารก็มีงานน่าสนใจเยอะมาก และเนื่องจากเป็นงานแบบ Modern Art ทั้งหมด สำหรับจอมเลยอินเป็นพิเศษ และเสพย์ง่าย(โดยส่วนตัว) งานนี้ของ Clyfford Still ชอบๆงานสนุกๆก็มี
พอออกมานอกอาคาร ก็มีSculpture ให้เดินดูรอบรอบTree Sculpture โดย Roxy Paine ดูแล้วแปลกตาดี
เค้ามีที่อาบแดด เป็น Cast-in-Place Concrete เราอยากรู้ว่ามันสบาย หรือถูก Human Scale ไหมเลยไปลองดู คำตอบคือ…ร้อน..ทั้งหน้าและหลัง!! คือ ตั้งใจย่างสดเลยใช่ป่ะเนี่ย!!!
ระหว่างที่จะเดินไป ป้ายต่อไปที่ Kimbell Art museum ก็เจอ Sculpture ใหญ่ยักษ์ ที่เป็นเหล็กCorten สูงมากกกกก น่าจะสัก 20 เมตร ได้ เห็นปุ๊ป..รู้เลยว่างานใครถ้าใครยังไม่คุ้นตา ก็ขอแนะนำค่ะ ศิลปินคนนี้ ชื่อ Richard Serra งานเค้าหล่อ เรียบ ดิบ เท่ห์ และใช้วัสดุเดียวเลยคือ “Corten Steel” ได้มาเห็นงานของเฮียเค้าชัดๆ ตั้งตรงหน้า รออะไร? วิ่งไปข้างในนั้นเลยสิคะ!! (สนามเด็กเล่นของเราชัดๆ)การได้เห็นงานเค้าในหนังสือหรือ Website ก็อย่างนึงนะ พอมาเจอกับตัว บอกเลยว่า ศิลปะ บางที..ต้องสัมผัสแบบ4มิติ จริงๆค่ะ
ที่ว่า 4 คือมันมีเสียง และความบิดเบี้ยวของที่ว่างรอบตัวเราที่เกิดจากเสียงที่เปลี่ยนไปด้วย
ลึกไปไหม? มาดูวีดีโอที่จอมถ่ายไว้ตอนเดินเข้าไปในตัวงานค่ะ คือ เสียงมันก้อง สะท้อนน่าสนใจมาก ลองฟังดู
ถ้างานศิลปะทั้งวันที่ดู งานนี้ประทับใจสุด มันเป็น “ประสบการณ์” ไม่ใช่แค่ตาเห็นเฉยๆจริงๆค่ะ
อ่ะผ่านไป…มาต่อกันที่ 2 สถานที่สุดท้าย ที่ Kimbell Art Museum อันนี้จะไม่พูดเยอะ มาเน้นรูปกันดีกว่า
2 – Kimbell Art Museum (Kahn Building) ออกแบบโดย Louis Kahn
เริ่มต้นด้วยการเข้าไปในตึกของ Louis Kahn เข้ามาก็สัมผัสได้ถึงความเป็นคุณ Kahn มันเท่ห์ และที่ เจ๋งที่สุดคือ เรื่องของ “Shadow & Light” คาห์นเค้าไว้ลายมากในเรื่องนี้
ยังมีความเป็น Monumentality ไม่ว่าจะscale เล็กลงมา ยังคงเล่นกับแสงธรรมชาติและเงาอยู่อย่างหนักแน่น เป็นงานคลาสสิคที่คุณภาพเป็นเลิศจริงๆ ว่าแล้วก็เดินออกไปต่ออาคารต่อไป มีสวนนิดหน่อย
ข้างนอก Landscape เฉยๆนะ ก็รู้ว่าต้องเรียบ แต่มันโล่งโจ้ง ไม่ค่อยสร้างความต่อเนื่องในการเดินไปอีกอาคารเท่าไหร่
3 – Kimbell Art Museum (Piano Pavilion) ออกแบบโดย Renzo Piano
พอเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะไปเจอ Piano Pavillion PianoเคยทำงานกับKahnมาก่อน การที่เค้าได้สร้างงานข้างๆ “อาจารย์”ที่เค้าเคยทำงานด้วยเนี่ยทำให้เค้า เข้าใจ และเคารพในการสร้างความต่อเนื่อง จากงานของKahn มาสู่งานของ Piano
งานนี้แม้จะแยกออกมาจากงานของKahn แต่งานของPiano ก็ใส่ใจในการเล่นเรื่องของ “Shadow & Light” เช่นกัน
เรียกได้ว่า ประสบการณ์ในการเดิน Kimbell Art Museum จะสมบูรณ์ได้ก็ต้องมาจบด้วยงานของ Piano
เป็นสไตล์เค้า แม้ Form, space จะต่างจากงานอื่น แต่ด้วยดีเทล และวัสดุ เดินเข้าไป มันบอกได้เลยว่าของ Piano จริงๆ
ส่วนมากจะเหมือนมาดู Detail ดีเทลชายคาข้างหน้าตรงทางเข้า
งานนี้จอมไม่ค่อยได้ถ่ายมามากนักค่ะ
เอาวีดีโอของ พิพิธภัณฑ์นี้มาให้ดูแทน จะได้เห็นภาพรวมๆ
ผ่านไปแล้ว กับ 3 งานใน 1 วัน
ส่วนตัว จอมอินกับงานแรกหนักมาก พอไปงานที่สองต่อ รู้สึกว่าใช้พลังงานในการตื่นเต้นกับงานแรกเยอะไป และดูงานเยอะด้วยพอมางานสองและสาม ทำให้ ไม่เหลือแรงเท่างานแรก ประกอบกับว่า มีหลายคนรอเรา..เลยไม่สามารถอินกับมันได้นาน ก็เลยไปอัดหมดตัวงานแรก และงานสองสาม นี่ก็แทบวิ่ง ไม่ค่อยชิล
แต่ถ้าใครไป ไม่รีบ ใช้เวลาได้ทั้งวัน สบายๆหรืออาจจะน้อยกว่านั้น สัก 6 ชั่วโมงก็ครบ แบบสบายๆเลยค่ะ อ้อออ อีกอย่าง แนะนำอย่ามาหน้าร้อนเลยค่ะ ร้อนจริง ๆ มาช่วง Spring กำลังดี
ถ้ามีโอกาสกลับไป Texas อีกก็อยากไปที่เมืองอื่นอีก เพราะมีงานให้ดูอีกเยอะ แต่ตามเก็บไม่หมด เวลาแสนสั้น
หวังว่าจะชอบภาพและเรื่องราวที่จอมเก็บมาฝากจาก Texas นะคะเที่ยวกับจอมทีไร ไปแต่สถาปัตยกรรม (กับกิน) 555
ไว้คราวหน้า พาเที่ยวใหม่
ชอบไม่ชอบ ติชมกันได้นะคะ